กองทุนอีทีเอฟพลังงานได้ฤกษ์คลอดเดือนกรกฎาคม เน้นลงทุนในหุ้นมาร์เกตแคปสูงเพียง 9 - 10 ตัวในกลุ่มพลังงาน บลจ.ทหารไทยเตรียมแผนไปโรดโชว์ตปท.เร็วๆนี้ คาดราคาขาย 5 -10 บาท เชื่อถ้าภาวะหนุนปลายปีมูลค่ากองทุนแตะ 1,000 ล้านบาท ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯโดดร่วมลงทุนด้วย 30 ล้านบาท จากขนาดกองทุน 500 ล้านบาท
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับกองทุน Equity ETF ที่อ้างอิงกับดัชนีหมวดพลังงานนั้น คาดว่าจะทำการเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 51 ซึ่งช่วงก่อนการเปิดซื้อขาย 1 เดือน บริษัทอาจจะมีการไปโรดโชว์ประเทศแถบภูมิภาคนี้ เช่น ประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น
สำหรับกองทุน Equity ETF ที่อ้างอิงกับดัชนีหมวดพลังงาน จะมีมูลค่าเริ่มต้นในการจัดตั้งไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และตลาดหลักทรัพย์จะร่วมลงทุนในวงเงิน 30 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน 9 - 10 บริษัทที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง
"แม้ว่ากองทุนนี้จะลงทุนในหุ้นเพียง 10 ตัวแรกของกลุ่มพลังงาน แต่มีมาร์เกตแคปรวมที่ใหญ่มากคิดเป็นมูลค่าเกือบ 80-90% ของกลุ่มพลังงานทั้งหมด จึงเชื่อว่าจะเป็นตัวแทนการเคลื่อนไหวของดัชนีได้อย่างเหมาะสม ขณะที่สัดส่วนการลงทุนแและหลักทรัพย์ที่ลงทุนนั้น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามภาวะที่เกิดขึ้น" นางโชติกา กล่าว
ขณะที่ระดับราคาในการขายหน่วยลงทุนครั้งแรกนั้น จะใช้การคำนวนจากดัชนีหมวดพลังงานเป็นตัวกำหนด โดยคาดการณ์ว่าราคาขายหน่วยลงทุนน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 - 10 บาท แต่ราคาที่แน่นอนคงจะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการและระดับของดัชนีของกลุ่มพลังงานในช่วงดังกล่าวด้วย ส่วนการกำหนดการปันผลนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะมีการกำหนดการจ่ายปันผลเช่นเดียวกับกองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) เพื่อสร้างความน่าสนใจให้แก่นักลงทุน อย่างไรก็ตามต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการ
นางโชติกา กล่าวต่อว่า สำหรับกองทุน ETF พลังงานนี้น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน จากภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้มีโอกาสเติบโตในอนาคต โดยเชื่อว่ากองทุนดังกล่าวน่าจะมีการเติบโตใกล้เคียงกับกองทุน Jumbo ของบลจ.ทหารไทย ที่สามารถเติบโตได้รวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งหลังจากนี้ภาวะตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นและมีจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม อาจจะทำให้มูลค่าของกองทุนในช่วงปลายปีเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1,000 ล้านบาท จากขนาดกองทุนเริ่มต้นในการจัดตั้งไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทได้
"ช่วงแรกคงจะเน้นการจำหน่ายกับลูกค้ารายย่อยเป็นหลักมากกว่าลูกค้าสถาบัน เนื่องจากนักลงทุนสถาบันจะนิยมลงทุนเมื่อกองทุนมีขนาดที่ใหญ่พอเพียงแล้วมากกว่า" นางโชติกา กล่าว
ทั้งนี้ การจัดตั้งกองทุน ETF พลังงานอาจจะส่งผลทำให้เกิดการทับซ้อนกับกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนบ้าง แต่กองทุนดังกล่าวจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงลูกค้า โดยลูกค้าที่ลงทุนใน ETF พลังงาน อาจจะเข้าไปลงทุนในกองทุนประเภทอื่นด้วย
นางโชติกา กล่าวว่า ตอนนี้เริ่มเห็นการร่วมมือในการทำธุรกรรมระหว่างบลจ.และบล.เพิ่มมากขึ้น ซึ่ง บลจ.ทหารไทยได้พูดคุยกับตัวแทนจำน่ายหน่วยลงทุน (ไซริ่งเอเจนต์) ของบริษัท 2 บริษัท คือ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) และบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ในเรื่องดังกล่าว และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 3 บริษัท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้ร่วมลงนามร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด และทีมจัดตั้งและบริหารจัดการ Equity ETF ที่อ้างอิงกับดัชนีหมวดพลังงาน ซึ่งประกอบไปด้วยบล.ภัทร ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง และมีบริษัทหลักทรัพย์ร่วมทีมผู้ร่วมค้าหน่วย คือ บล.พัฒนสิน และ บล.ทิสโก้
"ส่วนตัวเชื่อว่ากองทุน ETF พลังงานนั้นน่าจะได้รับความนิยมเช่นเดียวกับกองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟที่ขนาดเพิ่มกว่า 200% และกองทุนนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนของนักลงทุนไทย" นางภัทรียา กล่าว
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับกองทุน Equity ETF ที่อ้างอิงกับดัชนีหมวดพลังงานนั้น คาดว่าจะทำการเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 51 ซึ่งช่วงก่อนการเปิดซื้อขาย 1 เดือน บริษัทอาจจะมีการไปโรดโชว์ประเทศแถบภูมิภาคนี้ เช่น ประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น
สำหรับกองทุน Equity ETF ที่อ้างอิงกับดัชนีหมวดพลังงาน จะมีมูลค่าเริ่มต้นในการจัดตั้งไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และตลาดหลักทรัพย์จะร่วมลงทุนในวงเงิน 30 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน 9 - 10 บริษัทที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง
"แม้ว่ากองทุนนี้จะลงทุนในหุ้นเพียง 10 ตัวแรกของกลุ่มพลังงาน แต่มีมาร์เกตแคปรวมที่ใหญ่มากคิดเป็นมูลค่าเกือบ 80-90% ของกลุ่มพลังงานทั้งหมด จึงเชื่อว่าจะเป็นตัวแทนการเคลื่อนไหวของดัชนีได้อย่างเหมาะสม ขณะที่สัดส่วนการลงทุนแและหลักทรัพย์ที่ลงทุนนั้น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามภาวะที่เกิดขึ้น" นางโชติกา กล่าว
ขณะที่ระดับราคาในการขายหน่วยลงทุนครั้งแรกนั้น จะใช้การคำนวนจากดัชนีหมวดพลังงานเป็นตัวกำหนด โดยคาดการณ์ว่าราคาขายหน่วยลงทุนน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 - 10 บาท แต่ราคาที่แน่นอนคงจะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการและระดับของดัชนีของกลุ่มพลังงานในช่วงดังกล่าวด้วย ส่วนการกำหนดการปันผลนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะมีการกำหนดการจ่ายปันผลเช่นเดียวกับกองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) เพื่อสร้างความน่าสนใจให้แก่นักลงทุน อย่างไรก็ตามต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการ
นางโชติกา กล่าวต่อว่า สำหรับกองทุน ETF พลังงานนี้น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน จากภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้มีโอกาสเติบโตในอนาคต โดยเชื่อว่ากองทุนดังกล่าวน่าจะมีการเติบโตใกล้เคียงกับกองทุน Jumbo ของบลจ.ทหารไทย ที่สามารถเติบโตได้รวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งหลังจากนี้ภาวะตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นและมีจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม อาจจะทำให้มูลค่าของกองทุนในช่วงปลายปีเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1,000 ล้านบาท จากขนาดกองทุนเริ่มต้นในการจัดตั้งไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทได้
"ช่วงแรกคงจะเน้นการจำหน่ายกับลูกค้ารายย่อยเป็นหลักมากกว่าลูกค้าสถาบัน เนื่องจากนักลงทุนสถาบันจะนิยมลงทุนเมื่อกองทุนมีขนาดที่ใหญ่พอเพียงแล้วมากกว่า" นางโชติกา กล่าว
ทั้งนี้ การจัดตั้งกองทุน ETF พลังงานอาจจะส่งผลทำให้เกิดการทับซ้อนกับกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนบ้าง แต่กองทุนดังกล่าวจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงลูกค้า โดยลูกค้าที่ลงทุนใน ETF พลังงาน อาจจะเข้าไปลงทุนในกองทุนประเภทอื่นด้วย
นางโชติกา กล่าวว่า ตอนนี้เริ่มเห็นการร่วมมือในการทำธุรกรรมระหว่างบลจ.และบล.เพิ่มมากขึ้น ซึ่ง บลจ.ทหารไทยได้พูดคุยกับตัวแทนจำน่ายหน่วยลงทุน (ไซริ่งเอเจนต์) ของบริษัท 2 บริษัท คือ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) และบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ในเรื่องดังกล่าว และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 3 บริษัท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้ร่วมลงนามร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด และทีมจัดตั้งและบริหารจัดการ Equity ETF ที่อ้างอิงกับดัชนีหมวดพลังงาน ซึ่งประกอบไปด้วยบล.ภัทร ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง และมีบริษัทหลักทรัพย์ร่วมทีมผู้ร่วมค้าหน่วย คือ บล.พัฒนสิน และ บล.ทิสโก้
"ส่วนตัวเชื่อว่ากองทุน ETF พลังงานนั้นน่าจะได้รับความนิยมเช่นเดียวกับกองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟที่ขนาดเพิ่มกว่า 200% และกองทุนนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนของนักลงทุนไทย" นางภัทรียา กล่าว
