"ไพร์ซ ออฟ วู้ด" เปิดนวัตกรรมสร้างบ้านไม่สำเร็จรูป ภายใต้ชื่อ Chale't Prefab. House - Modern Tropical Style แข็งแรง คงทนไม่เป็นสนิม เหมาะสำหรับบ้าน รีสอร์ทริมทะเล เกาะขนส่งง่ายสะดวก สร้างเสร็จภายใน 3-15 วัน ราคาเริ่มต้น 8 แสนบาท/หลัง
นายคมวิทย์ บุญธำรงกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพร์ซ ออฟ วู้ด อินดัสทรีส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม้ครบวงจร สำหรับงานโครงสร้างและงานตกแต่งภายใน เปิดเผยว่า บริษัทได้คิดค้นและวิจัยนวัตกรรมการสร้างบ้านด้วยไม้ป่าปลูกสำเร็จรูป ภายใต้ชื่อ Chale't Prefab. House - Modern Tropical Style ซึ่งบริษัทสามารถผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปที่ประกอบเป็นตัวบ้านจากโรงงาน และนำไปประกอบที่หน้างาน(ไซน์)ได้ภายใน 3-15 วันแล้วแต่แบบที่ลูกค้าสั่งผลิต
นอกนี้ บริษัทยังมีโปรแกรมการออกแบบบ้านสำเร็จรูปจากประเทศเยอรมนี โดยสามารถออกแบบตามที่ลูกค้าต้องการได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ส่วนเทคโนโลยี(โนฮาวน์)ในการผลิตวัสดุนั้น บริษัทได้ซื้อมาจากสหรัฐฯ ทั้งนี้ ในบ้าน 1 หลัง จะเป็นวัสดุที่ผลิตจากไม้กว่า 60% เช่น โครงสร้างหลังคา หลังคา เสา พื้น ระเบียง วงกบ ส่วนที่เหลือเป็นส่วนประกอบจากวัสดุอื่น เช่น ผนังยิปซัมใช้เทคนิคพ่นทราย กระจกและอื่นๆ
ทั้งนี้ ขนาดบ้านเริ่มตั้งแต่ 40 ตารางเมตร(ตร.ม.) ไปจนถึง ขนาด 2-3 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 8 แสนบาท หรือประมาณ 23,000-28,000 บาท/ตร.ม. ขึ้นอยู่กับชนิดของไม่ที่ใช้ในการก่อสร้าง ส่วนเสาเข็มหรือฐานรากลูกค้าจะต้องเป็นผู้เตรียมพื้นที่ให้ เพื่อให้การประกอบชิ้นส่วนบ้านเป็นไปอย่างรวดเร็ว
" ถือว่าเราเติบโตและก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง จากเดิมที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไม้และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง แต่วันนี้ถือว่าเราทำครบวงจรแล้ว เพราะครั้งนี้หมายถึงการใช้ความรู้และความชำนาญงานในทุกด้านที่มีเพื่อสร้างบ้านทั้งหลัง ด้วยเทคโนโลยีที่ศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นมาเป็นอย่างดี ตอบโจทย์การก่อสร้างบ้านไม้ได้ทุกเรื่อง ในแบบ Modern Tropical Style เนื่องจาก เป็นการใช้ไม้เข้ามาประกอบให้ความรู้สึกเป็นบ้านอบอุ่น เหมาะสำหรับภูมิอากาศบ้านเรา และเป็นการประหยัดพลังงาน ตอบรับกระแสการหยุดภาวะโลกร้อน" นายคมวิทย์กล่าว
อย่างไรก็ตาม การคิดค้นการก่อสร้างบ้านดังกล่าว บริษัทใช้แนวคิด แนวคิด S กำลัง 5 ประกอบด้วย S 1 Speed สร้างเสร็จเร็ว ประกอบสำเร็จจากโรงงาน สร้างเสร็จใน 3-15 วัน (ขึ้นอยู่กับแบบบ้าน), S 2 Save ประหยัด ทั้งพลังงาน และประหยัดเงินทุน, S 3 Sanctuary ผ่อนคลายและเป็นส่วนตัว ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวในสไตล์รีสอร์ท ด้วยเพดานโปร่งที่สูงถึง 3 เมตร ผนังไม้ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ เรียบง่ายแต่สง่างาม
S 4 Science ใช้หลักวิทยาศาสตร์ ในการเลือกวัสดุทุกชิ้นส่วน โดยโครงสร้างใช้ผนังหลายชั้นจากวัสดุต่างกัน ลดความร้อน ดูดซับเสียง ทนทาน และป้องกันปลวก ในขณะที่หลังคาซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญ ใช้ Chale' t Ecoteak Shingle Roof ที่ใช้เทคโนโลยี Heat Treatment ซึ้งใช้ไม้สักป่าปลูก ที่ตอบรับกระแสอนุรักษ์พลังงาน และลดภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นพัฒนาการขั้นสุดของหลังคาไม้ของวงการสร้างบ้านในขณะนี้
และS 5 Strong แข็งแรง โดยโครงหลังคาไม้จริงสำเร็จรูป คำนวณด้วยโปรแกรม Mitek 20/20 ซึ่งเป็นผู้นำตลาดโครงหลังคาไม้ที่มีส่วนแบ่งตลาดถึง 70 % ของประเทศสหรัฐฯ , ระบบ Joint เสาและคาน ด้วยเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนี ที่มองไม่เห็นการเชื่อมต่อ ในขณะที่พื้นไม้ Chalet 't Structural Engineered Flooring ที่มีความหนาถึง 65 mm. เป็นทั้งพื้นโครงสร้างและตกแต่งอย่างสวยงามได้ ในตัว ที่สำคัญออกแบบโดยวิศวกรให้รับแรงลมได้ถึง 120 km./hr. ซึ่งเป็นแรงลมระดับพายุไต้ฝุ่น
นายคมวิทย์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการตลาด เน้นกลุ่มลุกค้าเป้าหมายมุ่งที่จะตอบรับธุรกิจที่มีความนิยมบ้านไม้ เช่น ผู้ที่นิยมบ้านไม้ รีสอร์ท โรงแรม โดยเฉพาะพื้นที่ริมทะเล เกาะต่างๆ ที่มีปัญหาจากน้ำเค็มทำให้บ้านที่ใช้วัสดุจากเหล็ก ปูนหรืออื่นๆ ได้รับผลกระทบจากการถูกกัดกร่อน สนิม นอกจากนี้ การก่อสร้างบนเกาะที่การขนส่งลำบาก รีสอร์ทที่ต้องการการก่อสร้างรวดเร็ว เพื่อประหยัดต้นทุน แต่มีโครงสร้างที่แข็งแรง
นอกจากนี้ ในอนาคตบริษัทยังวางแผนที่จะขยายการทำตลาดไปยังกลุ่มต่างประเทศ เพราะออกแบบให้สามารถบรรจุส่วนประกอบบ้านไม้ทั้งหลังได้สำหรับ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ ส่วนเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายของทั้งกลุ่มไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท ปัจจุบันทำยอดขายได้แล้ว 30% ของเป้าหมาย ส่วนเป้ายอดขายบ้านสำเร็จรูปตั้งไว้ที่เดือนละ 10 หลัง
" ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างวิจัยการและพัฒนาการนำไม้ทดแทน อาทิ กระถิน ยางพารา ยูคาลิปตัส และไม้ไผ่ นำมาอัดแรงเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของบ้าน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนถูกกว่าไม้ทั่วไป" นายคมวิทย์กล่าว
นายคมวิทย์ บุญธำรงกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพร์ซ ออฟ วู้ด อินดัสทรีส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม้ครบวงจร สำหรับงานโครงสร้างและงานตกแต่งภายใน เปิดเผยว่า บริษัทได้คิดค้นและวิจัยนวัตกรรมการสร้างบ้านด้วยไม้ป่าปลูกสำเร็จรูป ภายใต้ชื่อ Chale't Prefab. House - Modern Tropical Style ซึ่งบริษัทสามารถผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปที่ประกอบเป็นตัวบ้านจากโรงงาน และนำไปประกอบที่หน้างาน(ไซน์)ได้ภายใน 3-15 วันแล้วแต่แบบที่ลูกค้าสั่งผลิต
นอกนี้ บริษัทยังมีโปรแกรมการออกแบบบ้านสำเร็จรูปจากประเทศเยอรมนี โดยสามารถออกแบบตามที่ลูกค้าต้องการได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ส่วนเทคโนโลยี(โนฮาวน์)ในการผลิตวัสดุนั้น บริษัทได้ซื้อมาจากสหรัฐฯ ทั้งนี้ ในบ้าน 1 หลัง จะเป็นวัสดุที่ผลิตจากไม้กว่า 60% เช่น โครงสร้างหลังคา หลังคา เสา พื้น ระเบียง วงกบ ส่วนที่เหลือเป็นส่วนประกอบจากวัสดุอื่น เช่น ผนังยิปซัมใช้เทคนิคพ่นทราย กระจกและอื่นๆ
ทั้งนี้ ขนาดบ้านเริ่มตั้งแต่ 40 ตารางเมตร(ตร.ม.) ไปจนถึง ขนาด 2-3 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 8 แสนบาท หรือประมาณ 23,000-28,000 บาท/ตร.ม. ขึ้นอยู่กับชนิดของไม่ที่ใช้ในการก่อสร้าง ส่วนเสาเข็มหรือฐานรากลูกค้าจะต้องเป็นผู้เตรียมพื้นที่ให้ เพื่อให้การประกอบชิ้นส่วนบ้านเป็นไปอย่างรวดเร็ว
" ถือว่าเราเติบโตและก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง จากเดิมที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไม้และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง แต่วันนี้ถือว่าเราทำครบวงจรแล้ว เพราะครั้งนี้หมายถึงการใช้ความรู้และความชำนาญงานในทุกด้านที่มีเพื่อสร้างบ้านทั้งหลัง ด้วยเทคโนโลยีที่ศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นมาเป็นอย่างดี ตอบโจทย์การก่อสร้างบ้านไม้ได้ทุกเรื่อง ในแบบ Modern Tropical Style เนื่องจาก เป็นการใช้ไม้เข้ามาประกอบให้ความรู้สึกเป็นบ้านอบอุ่น เหมาะสำหรับภูมิอากาศบ้านเรา และเป็นการประหยัดพลังงาน ตอบรับกระแสการหยุดภาวะโลกร้อน" นายคมวิทย์กล่าว
อย่างไรก็ตาม การคิดค้นการก่อสร้างบ้านดังกล่าว บริษัทใช้แนวคิด แนวคิด S กำลัง 5 ประกอบด้วย S 1 Speed สร้างเสร็จเร็ว ประกอบสำเร็จจากโรงงาน สร้างเสร็จใน 3-15 วัน (ขึ้นอยู่กับแบบบ้าน), S 2 Save ประหยัด ทั้งพลังงาน และประหยัดเงินทุน, S 3 Sanctuary ผ่อนคลายและเป็นส่วนตัว ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวในสไตล์รีสอร์ท ด้วยเพดานโปร่งที่สูงถึง 3 เมตร ผนังไม้ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ เรียบง่ายแต่สง่างาม
S 4 Science ใช้หลักวิทยาศาสตร์ ในการเลือกวัสดุทุกชิ้นส่วน โดยโครงสร้างใช้ผนังหลายชั้นจากวัสดุต่างกัน ลดความร้อน ดูดซับเสียง ทนทาน และป้องกันปลวก ในขณะที่หลังคาซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญ ใช้ Chale' t Ecoteak Shingle Roof ที่ใช้เทคโนโลยี Heat Treatment ซึ้งใช้ไม้สักป่าปลูก ที่ตอบรับกระแสอนุรักษ์พลังงาน และลดภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นพัฒนาการขั้นสุดของหลังคาไม้ของวงการสร้างบ้านในขณะนี้
และS 5 Strong แข็งแรง โดยโครงหลังคาไม้จริงสำเร็จรูป คำนวณด้วยโปรแกรม Mitek 20/20 ซึ่งเป็นผู้นำตลาดโครงหลังคาไม้ที่มีส่วนแบ่งตลาดถึง 70 % ของประเทศสหรัฐฯ , ระบบ Joint เสาและคาน ด้วยเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนี ที่มองไม่เห็นการเชื่อมต่อ ในขณะที่พื้นไม้ Chalet 't Structural Engineered Flooring ที่มีความหนาถึง 65 mm. เป็นทั้งพื้นโครงสร้างและตกแต่งอย่างสวยงามได้ ในตัว ที่สำคัญออกแบบโดยวิศวกรให้รับแรงลมได้ถึง 120 km./hr. ซึ่งเป็นแรงลมระดับพายุไต้ฝุ่น
นายคมวิทย์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการตลาด เน้นกลุ่มลุกค้าเป้าหมายมุ่งที่จะตอบรับธุรกิจที่มีความนิยมบ้านไม้ เช่น ผู้ที่นิยมบ้านไม้ รีสอร์ท โรงแรม โดยเฉพาะพื้นที่ริมทะเล เกาะต่างๆ ที่มีปัญหาจากน้ำเค็มทำให้บ้านที่ใช้วัสดุจากเหล็ก ปูนหรืออื่นๆ ได้รับผลกระทบจากการถูกกัดกร่อน สนิม นอกจากนี้ การก่อสร้างบนเกาะที่การขนส่งลำบาก รีสอร์ทที่ต้องการการก่อสร้างรวดเร็ว เพื่อประหยัดต้นทุน แต่มีโครงสร้างที่แข็งแรง
นอกจากนี้ ในอนาคตบริษัทยังวางแผนที่จะขยายการทำตลาดไปยังกลุ่มต่างประเทศ เพราะออกแบบให้สามารถบรรจุส่วนประกอบบ้านไม้ทั้งหลังได้สำหรับ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ ส่วนเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายของทั้งกลุ่มไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท ปัจจุบันทำยอดขายได้แล้ว 30% ของเป้าหมาย ส่วนเป้ายอดขายบ้านสำเร็จรูปตั้งไว้ที่เดือนละ 10 หลัง
" ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างวิจัยการและพัฒนาการนำไม้ทดแทน อาทิ กระถิน ยางพารา ยูคาลิปตัส และไม้ไผ่ นำมาอัดแรงเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของบ้าน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนถูกกว่าไม้ทั่วไป" นายคมวิทย์กล่าว