xs
xsm
sm
md
lg

อสังหาฯพาเหรดปรับเป้ารายได้ รับ"น้ำเลี้ยง"มาตรการภาษีเติมสภาพคล่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผลสะท้อนมาตรการลดหย่อนภาษี ซึ่งประกอบด้วยภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมการโอนซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ลดลงทันที 4.2% หลังจากเมื่อวันที่ 29 มี.ค.51ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป้าที่กลุ่มธุรกิจอสังหาฯ โดยการรลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 3.3% เหลือ 0.1% ของยอดโอน และลดการเก็บค่าธรรมเนียมการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01%และค่าจดจำนองจากเดิม1% เหลือ 0.01% เป็นระยะเวลา1 ปี

โดยการลดภาษีธุรกิจเฉพาะจะทำให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์ เต็มๆ เพราะโดยปกติแล้ว บริษัท อสังหาฯจะเป็นผู้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ส่วนค่าธรรมเนียมการโอนผู้ประกอบการจะออกคนละครึ่งกับผู้ซื้อ และค่าจดจำนองผู้ซื้อจะเป็นผู้จ่าย โดยรวมแล้วค่าใช้จ่ายของบริษัทอสังหาฯ จะลดลง4.2% การลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองจะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย (ดีมานด์)ของผู้บริโภค

สำหรับการลดค่าโอนและค่าจดจำนองจะช่วยกระตุ้นให้ความต้องการซื้อบ้านของผู้บริโภคในปี 51 ปรับตัวสูงขึ้น เพราะจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อบ้านรวมแล้ว 2% นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯบางส่วนตรึงราคาขายจากเดิมที่มีแผนจะปรับราคาขึ้น ตามต้นทุนที่สูงขึ้น หรืออาจปรับลดราคาบ้านลงเนื่องจากตลาดยังมีการแข่งขันสูง ซึ่งจะเป็นการส่งผ่านผลประโยชน์นี้ให้แก่ผู้บริโภค

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะส่งผลต่อผู้ประกอบการบ้านแนวราบจะได้รับประโยชน์กว่าคอนโดมิเนียม เนื่องจากคอนโดมิเนียมจะต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างที่นาน2-3 ปี ทำให้ผู้จองซื้อคอนโดมิเนียมไม่ได้รับผลจากมากกว่ามาตรการดังกล่าว ยกเว้นโครงการเหลือขายที่มีการก่อสร้างเสร็จแล้ว สำหรับการประกาศมาตรการดังกล่วา ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยมีกำไรเพิ่มขึ้นประมาณ15-30%ในปีนี้

นายอธิป พีชานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลจากมาตรการลดภาษีจะทำให้สัดส่วนบ้านจัดสรรมีจำนวนมากกว่าบ้านสร้างเอง ทั้งนี้ ในปีที่แล้วผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยรอบด้านทำให้ไม่มีความชัดเจนในแผนการลงทุน ทำให้ตัวเลขบ้านเดี่ยวกับทาวน์เฮาส์ค่อนข้างต่ำ ขณะที่ยอดตัวเลขขายคอนโดยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนในปี51นี้ แม้ว่าตลาดอสังหาฯ จะมีแนวโน้มที่ดีแต่ก็ยังต้องระวังปัจจัยเสี่ยงในแต่ละเดือนด้วย แต่มั่นใจว่าภาพรวมของตลาดในปีนี้จะเติบโตดีกว่าปีที่แล้วประมาณ 10% โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวซึ่งมีแนวโน้มดีมาก ส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แม้จะไม่ดีมากแต่น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นภาพรวมของตลาดได้

ทั้งนี้ ตลาดอสังหาฯ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาถือว่าดีมาก ซึ่งหากเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านๆ มา เชื่อว่าตัวเลขอัตราการเติบโตของผู้ประกอบการส่วนใหญ่น่าจะเกิน 30%เนื่องจากการซื้อบ้านส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และเป็นกลุ่มตลาดที่อั้นการใช้จ่ายเงินมาตั้งแต่ปลายปี50 อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การเมืองไม่แน่นอน เช่น หากรัฐบาลยุบพรรคหรือยุบสภา ผู้บริโภคอาจจะเกิดความกังวลและไม่กล้าซื้อบ้านก็ได้

นายอธิป กล่าวว่า ปัจจัยที่จะทำให้ตลาดอสังหาฯ โตเพิ่มขึ้นคือ มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ และอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเดิมคาดว่าปลายปีที่แล้วอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อดอกเบี้ยให้ปรับเพิ่มตามไปด้วย แต่กลับไม่เพิ่มมากนัก รวมทั้งมาตรการด้านสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ออกมายังเอื้อประโยชน์ต่อผู้ซื้อบ้านรายย่อยด้วย อย่างไรก็ตามผู้ซื้อบ้านครวเตรียมการรับมือแนวโน้มการขอสินเชื่อรายย่อยเพื่อซื้อบ้านจะเข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งปัญหาเรื่องเครดิตบูโรที่จะทำให้ขอกู้เงินไม่ผ่าน

อย่างไรกตามนับจากที่มีข่าวการออกมาตรการดังกล่าวออกมาส่งผลให้ลูกค้าโครงการจัดสรรและโครงการคอนโดมิเนียมมีการชะลอการโอนเพื่อการประกาศใช้มาตรการดังกล่าว ซึ่งหลังจากที่รัฐบาลมีการประกาศใช้มาตรการทางภาษีดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมาประพบว่ามีปริมาณการโอนบ้านเพิ่มสูงขึ้น จะช่วยให้ระบายสินค้าเหลือขายได้เร็วขึ้นทั้งในส่วนของโครงการจัดสรร และโครงการคอนโดมิเนียม

โดยในส่วนของบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน)นั้น พบว่าลูกค้าจำนวนมากเลื่อนโอนห้องจนกว่ามาตรการทางภาษีจะประกาศบังคับใช้ ทำให้รายได้ไตรมาส 1/51 คาดว่าจะต่ำเพียง 1,100 ล้านบาท จากเป้ารายได้รวมทั้งปีที่ 8 ,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้ไตรมาส 2/50 ก็จะเพิ่มขึ้นมากจากไตรมาสแรกซึ่งขณะนี้ LPN มียอดขายที่ยังไม่รับรู้มูลค่า 11,800 ล้านบาท โดยจำนวน 6,900 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ คิดเป็น 92% ของประมาณการรายได้ปีนี้ ซึ่งคาดว่า LPN จะได้รับผลบวกสามารถระบายยูนิตของโครงการที่สร้างเสร็จในปีนี้ได้อย่างรวดเร็วจากมาตรการลดหย่อนภาษีมากระตุ้นกำลังซื้อ

ในส่วนของ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่ในปีนี้วางแผนเปิด 8 โครงการใหม่มูลค่า 8,260 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายเติบโต 26% ในขณะที่ ศุภาลัย เองยังมีโครงการเปิดขายรวม 20 โครงการ หรือมีมูลค่าเหลือขาย 15,000 ล้านบาท โดยมียอดขายรอโอน 12,000 ล้านบาทจากปีที่แล้ว โดยมีกำหนดการโอนจำนวน 3,030ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 55% ของประมาณการรายได้ ทำให้คาดว่าในปีนี้ ศุภาลัย น่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น 4%

นายวิษณุ สุชาติล้ำพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ AP กล่าวว่ามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์นั้นแม้ว่ามีผลบังคับใช้ระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น

สำหรับประโยชน์ที่บริษัทฯ ได้รับนอกจากช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านภาษีที่ส่งผลดีต่อรายได้ของบริษัทฯ แล้ว บริษัทฯยังมีสินค้าในมือจำนวนมากที่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ภายใต้เงื่อนไขของการประกาศใช้มาตรการดังกล่าว โดยคาดว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนของบ้านเดี่ยวและทาวเฮาส์ได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท และคอนโดฯประมาณ 4,000 ล้านบทจาก 4 โครงการที่ทยอยสร้างเสร็จภายในปีนี้คือ 1) The Address สยาม 2) Life @ BTS ท่าพระ 3) Life @ รัชดา 4) Life @ พหล 18

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้มีการพิจารณาและปรับแผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในปี 2551 ใหม่อีกครั้ง หลังจากดำเนินการมาแล้ว 1 ไตรมาส ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจและทิศทางของธุรกิจอสังหาฯ ที่มีแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น

โดยล่าสุดกลุ่มแสนสิริจะมีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยที่ครบวงจรเพิ่มขึ้น จากเดิม 15 โครงการ เป็น 26 โครงการ ทำให้คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 20,000 ล้านบาท เป็น 26,000 ล้านบาท คาดจะสามารถสร้างรายรับรวมได้สูงถึง 19,000 ล้านบาท จากเดิมที่วางไว้เพียง 17,000 ล้านบาท ซึ่งการปรับเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจของแสนสิริในครั้งนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้แผนการรุกสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของธุรกิจอสังหาฯของกลุ่มแสนสิริมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ซึ่งจากการที่ภาครัฐ ได้ประกาศมาตรการด้านภาษีธุรกิจอสังหาฯที่ชัดเจน ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาฯโดยรวม ดังนั้น กลุ่มบริษัทแสนสิริ ที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร ต้องปรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ ทั้งการขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อรองรับโอกาสการขยายตัวของธุรกิจอสังหาฯที่จะเกิดขึ้นในปี 2551

สำหรับแผนการขยายโครงการใหม่ในปี 2551 ของกลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือ จากเดิมที่วางไว้เพียง 15 โครงการ เป็น 26 โครงการนั้น ประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรร 8 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 7,600 ล้านบาท โครงการคอนโดฯประมาณ 10 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 11,000 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ประมาณ 8 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 7,100 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการที่จะพัฒนาใหม่ทั้งสิ้นเกือบ 26,000 ล้านบาท

ในขณะเดียวกัน บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เองก็มีการปรับประมาณการรายได้รับรู้รวมในไตรมาสที่2เพิ่มเป็น 2,000ล้านบาทหลังจากที่ไตรมาสแรกที่ผ่านมายอดขาย2,050ล้านบาท ทั้งนี้สาเหตุที่คาดว่าในไตรมาส2จะมีรายได้รับรู้รวม 2,000 ล้านบาทบาทนั้นเนื่องจากมีสต็อกยอดขายในมือสะสมอยู่แล้วกว่า 3,000 ล้านบาท ขณะที่ผลดีจากมาตรการทางภาษีน่าจะส่งผลดีต่อยอดขายและยอดโอนของ เพอร์เฟคฯ ให้มีอัตราการขยายตัวสูงขึ้นนับจากช่วงไตรมาส2 เป็นต้านไป เนื่องจากเพอร์เฟคฯ มีสินค้าแนวราบในมือ ซึ่งได้รับผลบวกจากมาตรการทางภาษีที่ภาครัฐบาลประกาศใช้ไปเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา

ด้านบริษัท พฤกษา เรียล เอสเตท จำกัด (มหชน) นั้นแม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาจะยังไม่มีการประกาศใช้มาตรการด้านภาษีของภาครัฐบาลเข้ามาหนุน แต่ก็มียอดขายเติบโตจากช่วงเดียวกันของปี50สูงถึง104% โดยสามารถทำยอดขายได้สูงถึง4.88พันล้านบาทในไตรมาสแรก ทำให้มีแนวโน้มว่าในช่วงปีนี้จะมีการพิจารณาขยายกำลังการผลิตในโรงงานผลิตชิ้นส่วนบ้านสำเร็จรูปเพิ่ม หลังจากที่ก่อนหน้านั้นเคยมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มเนื่องจากในปีที่ผ่านมาใช้กำลังการผลิตไปกว่า 60%

และในปีนี้คาดว่าจะใช้กำลังหารผลิตสูงถึง 80% ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วผลบวกจากมาตรการด้านภาษีจะทำให้ในปีนี้ พฤกษาฯต้องกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 80% แน่นอน และจากการเพิ่มกำลังการผลิตผนวกกับมาตรการดังกล่าวคาดว่านับจากในไตรมาส2 เป็นต้นไปยอดขายของพฤกษาฯน่าจะสูงกว่าในไตรมาสแรกสูงมาก

ทั้งนี้ จากการปรับประมาณการารายได้ และยอดขายในไตรมาสแรกของบริษัทอสังหาฯส่วนใหญ่ ทำให้ประมาณการได้ว่าในปีนี้ตลาดแนวราบน่าจะกลับมาฟื้นตัว และมีอัตราการขยายตัวสูงถึง10-15% จากปีที่ผ่านมาตามที่มีการประมาณการไว้ค่อนข้างสูง
กำลังโหลดความคิดเห็น