xs
xsm
sm
md
lg

IRPC หั่น คชจ.ก้อนใหญ่ 1.7 พันล. สังเวยค่ากลั่นลด-ราคาน้ำมันพุ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ไออาร์พีซี เล็งหั่นค่าใช้จ่ายปีนี้กว่า 1.7 พันล้านบาท ด้วยการลดค่าบำรุงรักษา-โฆษณา 700 ล้านบาท และเพิ่มประสิทธิการทำงาน-ระบบจัดซื้ออีก 1 พันล้านบาท หลังพบค่าการกลั่นลดลงจากแรงกดดันจากโรงงานในเอเชีย-ตะวันออกกลางเพิ่มกำลังการผลิต บวกกับได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันพุ่งสูงเกินราคาประเมินที่ 65 เหรียญต่อบาร์เรล พร้อมเตรียมลงทุนโครงการเพิ่มมูลค่ายางมะตอย ด้วยเงินลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กล่าวถึง แผนการดำเนินงานในปี 2551 ว่า บริษัทมีนโยบายที่จะพยายามลดภาระค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในการจัดซื้อทั้งหมด เพื่อแทนรายได้ที่อาจจะปรับลดลงจากค่าการกลั่นโดยรวม (GRM) ที่อยู่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับประมาณ 3-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งจะได้รับแรงกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นในปี 51-52 ของโรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมีในเอเชียและตะวันออกกลาง

สำหรับรายละเอียดของการลดภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ อาทิ การปรับลดค่าบำรุงรักษา ค่าโฆษณา ลง 10% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และจัดการเรื่องจัดซื้อต่างๆ โดยจะจัดซื้อวัสดุ สารเคมี รวมๆ กันเพื่อประหยัดต้นทุน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 1 พันล้านบาท

ขณะที่ด้านต้นทุนการผลิตนั้นได้กระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท โดยราคาน้ำมันดิบดูไบได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา จากราคาที่คาดการณ์ไว้ที่ 65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปัจจุบันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลต่อราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนฟทา ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการประกอบธุรกิจปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน อาจทำให้ความต้องการของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีลดลง
"ค่าการกลั่นโดยรวม (GRM) มีแนวโน้มแคบลง จากราคาน้ำมันที่ดูไบแพงเกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ดังนั้นบริษัทจะต้องลดภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแทน เพื่อรักษากำไรของบริษัทให้เพิ่มขึ้น"

ส่วนประเด็นที่ราคาหุ้น IRPC ที่ปรับลดลง สวนทางกับผลการดำเนินงานในปี 2549 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นนั้น นายปิติ กล่าวว่า หุ้นไออาร์พีซีเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับหุ้นบริษัทอื่นๆ ที่ปรับตัวลดลงเช่นกัน เกิดจากภาวะตลาดหุ้นโดยรวมไม่เอื้ออำนวย

ขณะที่เรื่องข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างผู้บริหารชุดปัจจุบันกับผู้บริหารชุดเดิมนั้น นายปิติ กล่าวว่า ขณะนี้คงเหลือคดีความทั้งสิ้น 41 คดี และเรื่องดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงไม่กดดันต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศแต่อย่างใด รวมทั้งจากการแนะนำข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนต่งประเทศพบว่า นักลงทุนยังให้ความสนใจหุ้นของบริษัทเป็นอย่างดี

สำหรับความคืบหน้าโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำมันหนัก (ยางมะตอย) ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการดังกล่าว หลังจากพบว่าปัจจุบันโรงกลั่นต่างๆ ในประเทศจะมีน้ำมันส่วนหนึ่งที่เหลือจากการกลั่นและไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นบริษัทจึงวางแผนจะดำเนินโครงการนี้ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าภายในปีนี้จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งหากโครงการ Long Residue ทำได้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 70,000- 120,000 ตันต่อปี

ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นนั้น บริษัทได้เริ่มโครงการลงทุนในเฟส 2 (2553-54) ซึ่งจะเน้นหนักในเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงกลั่น และการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันให้เป็นไปตามมาตรฐาน Euro4 รวมถึงโครงการเพิ่มผลิตภัณฑ์โพรพิลีน ใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนโครงการเฟส 1 (2550-52) ที่ได้เริ่มลงทุนไปแล้วในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้นกว่า 261 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบด้วยโครงการเพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก HDPE และ ABS โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 200MW และโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและความปลอดภัยภายในโรงงาน

นอกจากนี้ นายปิติ ยังกล่าวถึง กรณีที่บริษัท เอสโซ่ จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO จะเสนอขายไอพีโอในปลายเดือนนี้ ว่า ขณะนี้บริษัทไม่มีนโยบายจะเข้าไปลงทุนใน ESSO แม้ก่อนหน้านี้บริษัทจะได้เข้าไปซื้อหุ้นธุรกิจโรงกลั่นอื่น คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) เป็นเพียงการบริหารเงินทุนระยะสั้นให้เหมาะสม ไม่ใช่การลงทุนระยะยาว ซึ่งหากจะมีการลงทุนจะต้องหารือกับคณะกรรมการและศึกษารายละเอียดการลงทุนอีกครั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น