แบงก์กรุงศรีฯประกาศเดินหน้าขยายธุรกิจต่อ ไม่หวั่นภาวะการเมืองยังไม่นิ่ง ระบุไตรมาสแรกมี NIM เพิ่มเล็กน้อยจาก 3.2%เมื่อสิ้นปีก่อนหลังควบรวมจีอี แคปปิตอล และคาดเฉลี่ยทั้งปี 4% ยันหาก CDO ที่ไว้ด้อยค่าลงอีก พร้อมกันสำรองเพิ่มทันที
นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ถือว่าไม่ค่อยดีนัก ซึ่งผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่สงบ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารเองก็ยังดำเนินธุรกรรมต่างๆอย่างเต็มที่ โดยพยายามที่จะหาช่องทางในการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น ทั้งในส่วนของสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อภาคธุรกิจ ทั้งนี้ธนาคารได้ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อในปีนี้เติบโตในระดับ 18% แต่ก็มีความมุ่งมั่นที่ปล่อยกู้ให้ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงทำให้เกิดแรงกดดันให้ต้องทำงานให้มากขึ้น
นายวีระพันธุ์กล่าวอีกว่า ขณะนี้จากภาคการเมืองที่ยังไม่นิ่ง จึงทำให้ภาคเอกชนจำเป็นต้องช่วยกันผลักดันธุรกิจให้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งปัจจัยทางการเมืองถือเป็นเรื่องที่ส่งผลทางจิตวิทยา เช่นเดียวกับปัญหาวิกฤตซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯขณะนี้ ก็เป็นเรื่องทางจิตวิทยาโดยเห็นได้จากความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นและทำให้เกิดการเทขาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯได้ตกต่ำเกินความเป็นจริงแล้ว
“ในเมื่อการเมืองไม่นิ่ง เศรษฐกิจไม่ดี แล้วถ้าเอกชนไม่ทำอะไร ก็แย่ไปใหญ่ ดังนั้น ภาคเอกชนต้องทำงานโดยไม่ควรรอการเมืองนิ่ง และหากจะรอการเมืองดีแล้วทำงาน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการเมืองไทยก็เป็นแบบนี้หมุนวนกันอยู่แบบนี้”ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยากล่าว
นางเยาวลักษณ์ พูลทอง ประธาน คณะเจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ ธนาคารมียอดปล่อยกู้เพิ่ม 8,000-9,000 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อรายใหญ่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งลูกค้ารายใหญ่ส่วนใหญ่มีกำลังการผลิตที่อยู่ในระดับ สูงมานานแล้ว ทำให้มีการขอสินเชื่อเพื่อขยายธุรกิจ และเป็นสินเชื่อหมุนเวียน
สำหรับฐานะของธนาคารภายหลังการควบรวมกับจีอี แคปปิตอล(GECAL)คาดส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (net interest margin : NIM)ในไตรมาส 1 ปี 51 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.2% สิ้นปีก่อน และคาดส่วนต่างดอกเบี้ย ปีนี้เฉลี่ยมากกว่า 4%
"ไตรมาสแรก NIM จะขึ้นมานิดหน่อย เนื่องจาก GECAL ได้ โอนกิจการเข้ามาในแบงก์เมื่อ 14 กุมภาฯที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลต่อ NIM ไม่มาก แต่คาดว่า NIM เฉลี่ยทั้งปี จะมากกว่า 4% เนื่องจาก GECAL มี NIM ประมาณ 7%" นางเยาวลักษณ์กล่าว
ส่วนการถือครองตราสาร CDO ของธนาคารนั้น ได้มีการบันทึกตามราคาตลาด โดยในเดือนธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา ได้มีการบันทึกตามราคาตลาดแล้ว โดยมีการด้อยค่าของคุณภาพสินทรัพย์ประมาณ 20% ธนาคารจึงได้ตั้งสำรอง CDO ประมาณ 600 ล้านบาท และหากณ สิ้นเดือนมี.ค.มีการด้อยค่าของคุณภาพสินทรัพย์อีก ธนาคารก็ต้องสำรอง CDO เพิ่มขึ้น
อนึ่ง เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้มีการประชุมผู้ถือหุ้น โดยที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้ธนาคารออกหุ้นกู้ในรูปแบบต่างๆ ภายใน วงเงินไม่เกิน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เงินของธนาคาร โดยจะออกเป็นเงินบาท หรือสกุลเงินต่างประเทศตามที่ธนาคารจะเห็นสมควร และในวันที่ 21 เมษายนนี้ธนาคารจะแจ้งงบการเงินไตรมาส 1/51 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย
นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ถือว่าไม่ค่อยดีนัก ซึ่งผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่สงบ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารเองก็ยังดำเนินธุรกรรมต่างๆอย่างเต็มที่ โดยพยายามที่จะหาช่องทางในการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น ทั้งในส่วนของสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อภาคธุรกิจ ทั้งนี้ธนาคารได้ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อในปีนี้เติบโตในระดับ 18% แต่ก็มีความมุ่งมั่นที่ปล่อยกู้ให้ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงทำให้เกิดแรงกดดันให้ต้องทำงานให้มากขึ้น
นายวีระพันธุ์กล่าวอีกว่า ขณะนี้จากภาคการเมืองที่ยังไม่นิ่ง จึงทำให้ภาคเอกชนจำเป็นต้องช่วยกันผลักดันธุรกิจให้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งปัจจัยทางการเมืองถือเป็นเรื่องที่ส่งผลทางจิตวิทยา เช่นเดียวกับปัญหาวิกฤตซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯขณะนี้ ก็เป็นเรื่องทางจิตวิทยาโดยเห็นได้จากความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นและทำให้เกิดการเทขาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯได้ตกต่ำเกินความเป็นจริงแล้ว
“ในเมื่อการเมืองไม่นิ่ง เศรษฐกิจไม่ดี แล้วถ้าเอกชนไม่ทำอะไร ก็แย่ไปใหญ่ ดังนั้น ภาคเอกชนต้องทำงานโดยไม่ควรรอการเมืองนิ่ง และหากจะรอการเมืองดีแล้วทำงาน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการเมืองไทยก็เป็นแบบนี้หมุนวนกันอยู่แบบนี้”ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยากล่าว
นางเยาวลักษณ์ พูลทอง ประธาน คณะเจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ ธนาคารมียอดปล่อยกู้เพิ่ม 8,000-9,000 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อรายใหญ่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งลูกค้ารายใหญ่ส่วนใหญ่มีกำลังการผลิตที่อยู่ในระดับ สูงมานานแล้ว ทำให้มีการขอสินเชื่อเพื่อขยายธุรกิจ และเป็นสินเชื่อหมุนเวียน
สำหรับฐานะของธนาคารภายหลังการควบรวมกับจีอี แคปปิตอล(GECAL)คาดส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (net interest margin : NIM)ในไตรมาส 1 ปี 51 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.2% สิ้นปีก่อน และคาดส่วนต่างดอกเบี้ย ปีนี้เฉลี่ยมากกว่า 4%
"ไตรมาสแรก NIM จะขึ้นมานิดหน่อย เนื่องจาก GECAL ได้ โอนกิจการเข้ามาในแบงก์เมื่อ 14 กุมภาฯที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลต่อ NIM ไม่มาก แต่คาดว่า NIM เฉลี่ยทั้งปี จะมากกว่า 4% เนื่องจาก GECAL มี NIM ประมาณ 7%" นางเยาวลักษณ์กล่าว
ส่วนการถือครองตราสาร CDO ของธนาคารนั้น ได้มีการบันทึกตามราคาตลาด โดยในเดือนธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา ได้มีการบันทึกตามราคาตลาดแล้ว โดยมีการด้อยค่าของคุณภาพสินทรัพย์ประมาณ 20% ธนาคารจึงได้ตั้งสำรอง CDO ประมาณ 600 ล้านบาท และหากณ สิ้นเดือนมี.ค.มีการด้อยค่าของคุณภาพสินทรัพย์อีก ธนาคารก็ต้องสำรอง CDO เพิ่มขึ้น
อนึ่ง เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้มีการประชุมผู้ถือหุ้น โดยที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้ธนาคารออกหุ้นกู้ในรูปแบบต่างๆ ภายใน วงเงินไม่เกิน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เงินของธนาคาร โดยจะออกเป็นเงินบาท หรือสกุลเงินต่างประเทศตามที่ธนาคารจะเห็นสมควร และในวันที่ 21 เมษายนนี้ธนาคารจะแจ้งงบการเงินไตรมาส 1/51 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย