ตลาดเอ็มเอไอ เผย บจ.38 แห่งจ่ายเงินปันผลงวด50 รวมมูลค่า 1.73 พันล้านบาท คิดเป็นดีวีเดนยิว4.1%สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก1ปีที่มี 2.5% ด้าน "ยูนิค ไมนิ่ง" จ่ายมากสุด รองมา"ยูนิต" ขณะที่3 บริษัท "เด็มโก้-มิลล์คอน-ทีอาร์ซี" จ่ายทั้งหุ้น-เงินปันผล ชนิตร เผยมาร์เกตแคปปัจจุบันทะลุ4 หมื่นล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 38 แห่งคิดเป็น 76%ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนในmaiทั้งหมดที่มี 50 แห่ง ประกาศจ่ายปันผลประจำปี 2550 มูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,731 ล้านบาท แบ่งออกเป็นเงินปันผลจ่ายรวม 1,565 ล้านบาท และหุ้นปันผลจ่ายรวมมูลค่า 166 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากคิดมูลค่ารวมปันผลจ่ายเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิรวมเฉพาะของ 38 บริษัทที่ประกาศจ่ายปันผล ซึ่งมีมูลค่า 2,834 ล้านบาท จะพบว่ามูลค่ารวมเงินปันผลจ่ายสูงถึง61% ของกำไรสุทธิดังกล่าว ซึ่งหากคิดเงินปันผลเทียบกับราคาหลักทรัพย์แล้ว จะเห็นว่าอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ของหลักทรัพย์ใน mai สูงถึงร้อยละ 4.1
โดยบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลมากที่สุดคือ อันดับ 1 บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน)หรือ UMS จ่ายเงินปันผลประจำปี 2550 จำนวน 2 ครั้ง คือเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท และเงินปันผลสิ้นงวดในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท จึงรวมเป็นเงินปันผลปี 2550 ทั้งสิ้น หุ้นละ 2.00 บาท หรือรวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 288 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล6.45 % ณ ราคาก่อนการขึ้นเครื่องหมายปิดสมุดทะเบียน ผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล
อันดับที่ 2 คือบริษัท ยูนิมิต เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)หรือ UEC จ่ายเงินปันผลประจำปี 2550 จำนวน 2 ครั้งคือ เงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท ณ ราคาพาร์ 1 บาท และเงินปันผลสิ้นงวดในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท ณ ราคาพาร์ 0.25 บาท จึงรวมเป็นเงินปันผลปี 2550 ทั้งสิ้น หุ้นละ 0.90 บาท หรือรวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 214 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.97% ณ ราคาก่อนการขึ้นเครื่องหมายปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล ขณะที่ อันดับที่ 3 คือ บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน)หรือ GFM จ่ายเงินปันผลประจำปี 2550 ในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 120 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 9.09% ณ ราคาก่อนการขึ้นเครื่องหมายปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล
นายชนิตรกล่าวว่า ในปีนี้มีบริษัทจดทะเบียน 3 บริษัทที่นอกจากจะจ่ายเงินปันผลในรูปเงินสดแล้ว ยังให้ผลตอบแทนในลักษณะหุ้นปันผลอีกด้วย นั่นคือ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน)หรือ DEMCO บริษัท สตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน)หรือ MILL และ บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ TRC
แม้ว่าปัจจุบันหลายบริษัทจะทยอยขึ้นเครื่องหมายปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลแล้ว (XD) แต่ยังมีอีก 13 บริษัท ที่หากนักลงทุนซื้อหุ้นวันนี้ ยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลอีกด้วย ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ณ ปัจจุบันที่อัตราประมาณ 2.5% แล้ว ยังถือว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นำส่งผลการดำเนินงานประจำปี 2550 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ครบทุกบริษัทแล้ว ปรากฎว่าบริษัทจดทะเบียนใน mai มีรายได้รวมทั้งสิ้น 45,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 40,268 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 โดยมีกำไรสุทธิรวม 2,134 ล้านบาท ลดลงจาก 2,196 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 2.8 โดยขณะนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 50 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 40,403 ล้านบาท ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 280.36 (เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2551)
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 38 แห่งคิดเป็น 76%ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนในmaiทั้งหมดที่มี 50 แห่ง ประกาศจ่ายปันผลประจำปี 2550 มูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,731 ล้านบาท แบ่งออกเป็นเงินปันผลจ่ายรวม 1,565 ล้านบาท และหุ้นปันผลจ่ายรวมมูลค่า 166 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากคิดมูลค่ารวมปันผลจ่ายเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิรวมเฉพาะของ 38 บริษัทที่ประกาศจ่ายปันผล ซึ่งมีมูลค่า 2,834 ล้านบาท จะพบว่ามูลค่ารวมเงินปันผลจ่ายสูงถึง61% ของกำไรสุทธิดังกล่าว ซึ่งหากคิดเงินปันผลเทียบกับราคาหลักทรัพย์แล้ว จะเห็นว่าอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ของหลักทรัพย์ใน mai สูงถึงร้อยละ 4.1
โดยบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลมากที่สุดคือ อันดับ 1 บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน)หรือ UMS จ่ายเงินปันผลประจำปี 2550 จำนวน 2 ครั้ง คือเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท และเงินปันผลสิ้นงวดในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท จึงรวมเป็นเงินปันผลปี 2550 ทั้งสิ้น หุ้นละ 2.00 บาท หรือรวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 288 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล6.45 % ณ ราคาก่อนการขึ้นเครื่องหมายปิดสมุดทะเบียน ผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล
อันดับที่ 2 คือบริษัท ยูนิมิต เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)หรือ UEC จ่ายเงินปันผลประจำปี 2550 จำนวน 2 ครั้งคือ เงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท ณ ราคาพาร์ 1 บาท และเงินปันผลสิ้นงวดในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท ณ ราคาพาร์ 0.25 บาท จึงรวมเป็นเงินปันผลปี 2550 ทั้งสิ้น หุ้นละ 0.90 บาท หรือรวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 214 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.97% ณ ราคาก่อนการขึ้นเครื่องหมายปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล ขณะที่ อันดับที่ 3 คือ บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน)หรือ GFM จ่ายเงินปันผลประจำปี 2550 ในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 120 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 9.09% ณ ราคาก่อนการขึ้นเครื่องหมายปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล
นายชนิตรกล่าวว่า ในปีนี้มีบริษัทจดทะเบียน 3 บริษัทที่นอกจากจะจ่ายเงินปันผลในรูปเงินสดแล้ว ยังให้ผลตอบแทนในลักษณะหุ้นปันผลอีกด้วย นั่นคือ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน)หรือ DEMCO บริษัท สตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน)หรือ MILL และ บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ TRC
แม้ว่าปัจจุบันหลายบริษัทจะทยอยขึ้นเครื่องหมายปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลแล้ว (XD) แต่ยังมีอีก 13 บริษัท ที่หากนักลงทุนซื้อหุ้นวันนี้ ยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลอีกด้วย ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ณ ปัจจุบันที่อัตราประมาณ 2.5% แล้ว ยังถือว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นำส่งผลการดำเนินงานประจำปี 2550 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ครบทุกบริษัทแล้ว ปรากฎว่าบริษัทจดทะเบียนใน mai มีรายได้รวมทั้งสิ้น 45,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 40,268 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 โดยมีกำไรสุทธิรวม 2,134 ล้านบาท ลดลงจาก 2,196 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 2.8 โดยขณะนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 50 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 40,403 ล้านบาท ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 280.36 (เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2551)