xs
xsm
sm
md
lg

อีเอฟจีมองหุ้นไทยหมดเสนห์ แนะดึงเรียลเซกเตอร์จดทะเบียนเพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แบงก์อีเอฟจีมองหุ้นไทยหมดเสนห์ เหตุไม่มีเรียลเซกเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศเข้ามาจดทะเบียน โดย มีเพียงกลุ่มน้ำมันนำตลาดเท่านั้น ระบุปีนี้ Fund flow ไหลเข้าตลาดไทยและเอเชียน้อย เพราะสภาพคล่องจากภายนอกมีปัญหาทั่วโลก พร้อมแนะอย่าคาดหวังกับเฮจด์ฟันด์ หลังคอมมอดิตี้-ค่าเงินน่าสนใจกว่า ประเมินเอเชียติดลบอีก 10% โบรกเกอร์จับการซื้อขายหุ้นเพื่อปิดงวดบัญชี กดดันดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้

นายณสุ จันทร์สม ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารอีเอฟจี (สิงคโปร์) เปิดเผยว่า ในมุมมองของธนาคารอีเอฟจีมองว่า ตลาดหุ้นไทยหมดความน่าสนใจในแง่ของบริษัท เพราะหุ้นขนาดใหญ่ที่น่าสนใจมีแค่หุ้นน้ำมันเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น โดยไม่มีเรียลเซกเตอร์เข้ามาจดทะเบียนเป็นบริษัท เช่น โตโยต้า ยูนิลีเวอร์ หรือฮอนด้า หรือหุ้นขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ ซึ่งสาเหตุนี้ทำให้ตลาดไทยน่าได้รับความสนใจในแง่ของทิศทางตลาดมากกว่า เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนในไทยค่อนข้างเล็ก

สำหรับกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (Fund flow) ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันลดลงไปค่อนข้างมาก เนื่องจากสภาพคล่องจากภายนอกประเทศทั่วโลกมีปัญหา ทำให้เงินที่จะไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่จึงมีน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งนักลงทุนที่ลงทุนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงไปมาก ดังนั้น การที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาซื้อหุ้นในประเทศไทย คาดว่าน่าจะน้อยกว่าปีก่อนเป็นจำนวนมาก ประกอบอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านมาเองก็ยังไม่ดีพอ จึงมองว่านักลงทุนต่างชาติไม่น่าจะกลับเข้ามาในตลาดไทยมากนัก

ส่วนการลงทุนของกองทุนเก็งกำไร (เฮ็ดจ์ฟันด์) ตอนนี้ อาจจะคาดหวังไม่ได้ว่าจะกลับมาลงทุนในหุ้นเอเชียหรือในตลาดหุ้นไทย เพราะปัจจุบันหันไปลงทุนในสิทรัพย์ประเภทอื่นๆ แทน โดยเฉพาะการลงทุนในคอมมอดิตี้ อัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการลงทุนในหนี้เสียด้วย ซึ่งการลงทุนเหล่านี้ เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งตลาดหุ้นเอเซียน่าจะเป็นอีกปีที่ยากในการลงทุนสำหรับปีนี้ โดยประเมินว่าตลาดเอเซียมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงได้ต่ออีก 10% อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดเอเซียยังเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่

"ตลาดหุ้นในประเทศไทยไม่มีคอมมอดิตี้ ขณะเดียวกัน ตลาดไทยยังไม่มีสินค้าใหม่ๆ เข้ามา ทำให้กระแสเงินจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาไม่มาก ดังนั้นตลาดไทยจึงต้องมีการปรับสินค้าใหม่ให้เข้ามาซื้อขายมากขึ้น เช่น น้ำมัน หรือ ทอง"นายณสุกล่าว

สำหรับตลาดหุ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาตอนนี้ ถือว่าเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจลงทุนพอสมควร หลังจากราคาปรับลดลงไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากปัจจุบันการที่คนทั่วโลกส่วนใหญ่ขายหุ้นออกมาแล้วหนีไปที่ตลาดพันธบัตร น่าจะเป็นจังหวะที่เข้าไปซื้อได้ เพราะเมื่อมีแรงขายออกมาจะทำให้หุ้นนั้นมีมูลค่าพอสมควร และหากจะเข้าไปซื้อในช่วงนี้ ควรเป็นการลงทุนที่ต้องถือยาว เนื่องจากถ้าลงทุนระยะสั้นยังมีความเสี่ยงอยู่

โดยการลงทุนหุ้นในสหรัฐฯ นั้น จะต้องเลือกหุ้นที่อยู่ในกลุ่มการส่งออกและมีธุรกิจอยู่ในต่างประเทศจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ เป็นบริษัทที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า

"ส่วนตัวมองว่าในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2552 ตลาดสหรัฐฯ น่าจะดีขึ้น ซึ่งผมเองมองแบบข้ามชอตว่าต้องไปลงทุนในช่วงที่ไม่ใช่ช่วงพีคถึงแม้การเข้าไปดักซื้อในช่วงที่ตลาดลงแรงๆ อาจจะมีความเสี่ยงสูง แต่ถ้ามองในระยะยาวยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่" นายณสุกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงเช่นนี้ การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนเอกชนถือว่าน่าสนใจเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการแนะนำลูกค้าเข้ามาลงทุนในหุ้นกู้เหล่านี้บ้าง โดยเฉพาะลูกค้าที่ต้องการเข้าไปลงทุนในเอเซีย ก็จะแนะนำให้เข้าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของออสเตรเลีย หรือ นิวซีแลนด์ เพื่อเป็นสินค้าที่ไม่ผันผวนมาก และยังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่

"การลงทุนในปัจจุบันจะต้องมีการกระจายความเสี่ยงค่อนข้างมาก อาจจะต้องมีการกระจายลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) ตราสารหนี้ (Fix income) หรือหุ้นทั้งในประเทศและนอกประเทศ ทอง ที่ดิน และสตรัคเจอร์สโน๊ต"นายณสุกล่าว

**โบรกคาคปิดงวดบัญชีกระทบตลาด**

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่หนึ่ง การซื้อขายหุ้นเพื่อปิดงวดบัญชี (Window Dressing) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลในช่วงวันที่ 26-28 มีนาคม โดยหากเป็นการซื้อหุ้นเพื่อรักษาพอร์ตก็จะเป็นผลดีกับตลาดหุ้น ในทางตรงกันข้ามหากมีการขายหุ้นเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง เพื่อนำเงินไปชำระหนี้เจ้าหนี้หรือไถ่ถอนกองทุนก็จะส่งผลลบต่อตลาดหุ้น

ส่วนที่สอง ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งหากราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะส่งผลลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะเดียวกันหากราคาน้ำมันดิบทรงตัวอยู่ที่ระดับ 100 - 105 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะไม่มีผลกับราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบเคยขึ้นไปสูงกว่าระดับนี้

ส่วนสุดท้าย ปัจจัยการเมืองในประเทศ เนื่องจากคดีความต่างๆ เกี่ยวกับการเมืองยังต้องรอคำตัดสิน ทั้งกรณีศาลฎีการับคำร้อง กกต. ในการให้ใบแดง นายยงยุทธ ติยะไพรัช รวมถึงกรณียุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งหากมีข่าวอะไรออกมา จะส่งกระทบต่อตลาดหุ้นทันที

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ คาดว่าช่วงต้นสัปดาห์ดัชนีจะทรงตัว เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นในยุโรปปิดทำการ โดยทางเทคนิคมีแนวรับสำคัญที่ 810 จุด ซึ่งหากดัชนีสามารถยืนเหนือจุดดังกล่าวได้ โอกาสจะวิ่งขึ้นไปที่ 825 จุดมีความเป็นไปได้ โดยนักลงทุนสามารถเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นได้ แต่หากดัชนีไม่สามารถยืนเหนือ 810 จุดได้ โอกาสปรับลงมาถึง 780 จุด ให้ทยอยขายทำกำไร

นางสาวศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศ แม้เมื่อคืนวันพฤหัสที่ผ่านมาดัชนีดาวโจนส์จะปรับตัวบวก 262 จุด ก่อนจะปิดทำการ 2 วัน และเปิดทำการอีกครั้งในวันอังคาร ซึ่งมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความอ่อนไหว หากในสัปดาห์นี้ผลประกอบการของสถาบันการเงินที่จะทยอยออกมา ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีโอกาสปรับลดลงอีกครั้ง แม้ความวิตกเรื่องสภาพคล่องในระบบการเงินเริ่มผ่อนคลายลง

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยอาจได้ปัจจัยบวกจากมาตรการของกระทรวงการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า โดยประเมินแนวรับที่ 789-770 จุด แนวต้านที่ 818-827 จุด หากดัชนียืนเหนือ 815 จุด แนะนำซื้อสะสมเพิ่มได้ ต่ำกว่า 800 จุด ให้ชะลอการลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น