ผู้ค้าทุกรายประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด 40 สต./ลิตร โดยมีผลทันที 21 ก.พ.นี้ หลังราคาในตลาดโลกทะลุ 100 ดอลลาร์/บาเรล ผู้บริหาร ปตท.ยอมรับอั้นไม่ไหว หลัง 10 วันน้ำมันพุ่ง 10 ดอลลาร์/บาเรล แบกรับขาดทุนกว่า 300 ล. แบกภาระขาดทุนกว่า 300 ล้านบาท ยันปรับราคาตามความเหมาะสม ไม่มีการแทรกแซง เป็นการค้าเสรี ทุกค่ายมีสิทธิปรับขึ้นราคาได้เอง
วันนี้(20 ก.พ.) มีรายงานข่าวแจ้งว่า ผู้บริหารของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ได้ประชุมพิจารณาและได้ตัดสินปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดอีกลิตรละ 40 สตางค์แล้ว โดยให้มีผล 05.00 น. เช้าวันพรุ่งนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันตามสถานีบริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีดังนี้ เบนซิน 95 ราคาลิตรละ 33.19 บาท , เบนซิน 91 ราคาลิตรละ 32.09 บาท , แก๊สโซฮอล์ 95 ราคาลิตรละ 29.19 บาท , แก๊สโซฮอล์ 95(E20) ราคาลิตรละ 27.19 บาท และดีเซลราคาลิตรละ 29.54 บาท
นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการประชุมฯ โดยระบุว่า ราคาน้ำมันยังเป็นปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อทั่วทุกภูมิภาคของโลกล่าสุดในช่วง 10 วันที่ผ่านมาราคาปรับตัวรุนแรงมากขึ้นถึง 10เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่ง ปตท.ได้พยายามทำหน้าที่ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติอย่างดีที่สุด โดยไม่ได้ปรับราคาน้ำมันขายปลีกตามต้นทุนที่สูงขึ้นและรับภาระขาดทุนดังกล่าวแทนผู้บริโภคกว่า300 ล้านบาท (ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา) และพยายามรักษาระดับราคาเดิมให้นานที่สุดเท่าที่จะรับภาระแทนผู้บริโภคได้ซึ่งเป็นนโยบายที่ ปตท. ถือปฏิบัติมาโดยตลอด
ล่าสุดราคาน้ำมันพุ่งทะยานสูงมากโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลนั้นถือเป็นระดับสูงสุดทำลายสถิติเดิมโดยขึ้นมาถึง 112.80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (เพิ่มขึ้น 10.13 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล), น้ำมันเบนซิน 95 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 106.31 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (เพิ่มขึ้น 6.39 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล)
ส่วนน้ำมันดิบดูไบขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90.90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (เพิ่มขึ้น5.08 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล) ปัจจัยหลักมาจากความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นทั้งในจีนและสหรัฐฯ และอิหร่านซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโอเปคยังได้เสนอให้ลดกำลังการผลิตลง และอากาศทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯจะหนาวเย็นลงอีก นอกจากนี้โรงกลั่นน้ำมันในภูมิภาคอื่นๆ อาทิประเทศไนจีเรีย, ไต้หวัน และ ออสเตรเลีย ได้หยุดดำเนินการชั่วคราวจึงทำให้ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันสำรองว่าอาจมีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ของผู้เชี่ยวชาญด้านราคาน้ำมัน กล่าวถึงราคาน้ำมันดิบสหรัฐที่ปิดระดับ 100.01 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 4.51 ดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าเป็นการปรับขึ้นเป็นการชั่วคราว เพราะกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) ต้องการทำกำไรเท่านั้น
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า จากต้นทุนที่สูงขึ้นต่อเนื่องดังกล่าวแม้ว่าจะปรับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในครั้งนี้แล้ว แต่ค่าการตลาดยังคงติดลบอยู่ กล่าวคือทุกลิตรที่ขาย ปตท. ต้องรับภาระแทนผู้บริโภคลิตรละ 1 บาท หรือขาดทุนต่อวันละ 20 ล้านบาท ดังนั้นขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันประหยัดการใช้พลังงานอย่างจริงจังและหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น
นายศัลยา สุคนธทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายราคา การตลาดขายปลีก บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำมันดิบวันนี้ปรับตัว ขึ้นอีก 4.51 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาปิดที่ระดับ 101.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่า จะเป็นแนวโน้มว่ากลุ่มประเทศสมาชิกโอเปค จะปรับกำลังการผลิตลง การระเบิดที่ สร้างความเสียหายให้กับ โรงกลั่นในมลรัฐเท็กซัส โดยราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ในวันนี้ เบนซิน 95 ปิดที่ระดับ 106.31 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.53 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซลปิดอยู่ ที่ระดับ 112.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.11 ดอลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ.-วันที่ 20 ก.พ.นี้ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเบนซิน 95 มีการปรับตัว เพิ่มขึ้นมาตลอดถึง 7.96 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นถึง 11.59 ดอลลาร์ สหรัฐต่อบาร์เรล แต่ราคาขายปลีกยังไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ ทำให้ในขณะนี้ บริษัทฯ ต้องแบกรับภาระ ขาดทุนถึง 11 ล้านบาทต่อวัน โดยค่าการตลาดในวันนี้ของน้ำมัน เบนซิน 95 อยู่ที่ 0.28 บาทต่อลิตร ส่วน น้ำมันดีเซลอยู่ที่ -0.13 บาทลิตรจากต้นทุน
ปัจจัยดัง กล่าว ทำให้บริษัทฯ มีความจำเป็นต้อง ปรับขึ้นราคา ขายปลีกน้ำมัน ภายในประเทศทุกชนิดอีก 40 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 05.00 น. ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม การปรับราคา 40 สต.ในครั้งนี้ ยังไม่ครอบคลุมต้นทุนที่สูงขึ้นมาแล้วประมาณ 2 บาทต่อลิตร ในทางกลับกัน หากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกปรับตัวลง ก็จะช่วยลดภาระการขาดทุนนี้ลงได้
