AIT ปรับเป้ารายได้ปีนี้เป็น 3 พันล้านบาท จากเดิม 2.5 พันล้านบาท เหตุ 2 เดือนแรกปีนี้ออร์เดอร์เพียบ ดันงานในมือที่จะรับรู้ปีนี้เพิ่มกว่า 2 พันล้านบาท คาดมีงานเพิ่มอีกในช่วง 10 เดือนจากนี้ ผู้บริหาร เผย เตรียมเจาะตลาดต่างประเทศ พร้อมเข้าร่วมทุนอีก 3 บริษัท ฟุ้งปี 52 ฟันรายได้แตะ6 พันล้านบาท แม้ผลงานปี50 อ่วมรายได้ลด-กำไรหด เพราะพิษการเมือง
นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้ารายได้ปี51เพิ่มขึ้น 80% เป็น 3,000 ล้านบาท จากเดิมที่2,500 ล้านบาท เนื่องจาก ในช่วงเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์บริษัทได้รับงานมากขึ้นทำให้ขณะนี้มีโครงการที่จะรับรู้ในปีนี้เพิ่มเป็นกว่า 2,000 ล้านบาทจากสิ้นเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาที่มีงานในมือ 1,000 ล้านบาท และบริษัทยังเหลือเวลาอีกว่า 10 เดือนที่จะมีงานเข้ามาเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์ทางการเมืองเข้าสู่ภาวะปกติมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึงแม้ว่าจะล่าช้า แต่งบประมาณใช้จ่ายประจำปี51ของภาครัฐ เป็นกลไกที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะเข้าร่วมทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับธุรกิจหลักของบริษัทอีก 3 บริษัท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ล่าสุดบริษัทได้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท Sojitz Corporation จากประเทศญี่ปุ่น มีทุนจดทะเบียน40 ล้านบาท โดยจะประกอบธุรกิจด้านบริการซ่อมบำรุงรักษาและ Outsourcing ในฐานลูกค้าเดิมของAIT และขยายตลาดสู่ตลาดในกลุ่มบริษัทญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทย และจะเริ่มดำเนินงานได้ในไตรมาส3ปีนี้ โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทปีแรกไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
สำหรับ บริษัทย่อยอีก 2 บริษัท คือ บริษัทเมเปิ้ลพัส ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับระบบแผนที่สารสนเทศภูมิศาสตร์นั้นคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัท 50 ล้านบาท และบริษัทแบงค์เสริฟ ซึ่งทำตลาดในกลุ่มสถาบันการเงินและภาคอุตสาหกรรม โดยจะสร้างรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท รวมถึงบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
"บริษัทเตรียมที่จะขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้นและลงทุนมากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการที่จะเข้าร่วมใน3 บริษัทซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของเรา และเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย รวมถึงการขยายบริการให้กับภาคธุรกิจอื่นมากขึ้น พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี52 ไว้ที่ 6,000 ล้านบาท" นายศิริพงษ์ กล่าว
นายศิริพงษ์ กล่าวว่า รายได้ของบริษัทในปี 2550 มี 1,646 ล้านบาท ลดลง 632 ล้านบาท หรือลดลง 27% จากปี 49 ที่มีรายได้รวม 2,278 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ 94.81 ล้านบาท ลดลง 102.36 ล้านบาทหรือ 51.91% จากปี 49 ที่มีกำไรสุทธิ 197.17 ล้านบาท เพราะความไม่ปกติทางการเมืองและความไม่ชัดเจนในแผนพัฒนาประเทศการจัดตั้งงบประมาณใช้จ่ายประจำปีของภาครัฐล่าช้ากว่าปกติทำให้การดำเนินการโครงการต่างๆของภาครัฐในครึ่งปีแรกชะลอ ส่งผลต่อเนื่องกับภาคเอกชนก็ชะลอการลงทุน แม้ครึ่งปีหลังรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร่งดำเนินการบิกจ่ายงบประมาณงบประมาณ แต่ก็ไม่สามารถรับรู้รายได้ทัน
สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากบริษัทตั้งสำรองการด้อยค่าของอุปกรณ์ที่ลงทุนในการให้บริการเสริมด้านสื่อสารโทรคมนาคม 40 ล้านบาท แต่ถึงแม้บริษัทจะมีกำไรลดลงแต่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดผลประกอบการปีที่ผ่านมาในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท หรือคิดเป็น 97%ของกำไรสุทธิ โดยจะขออนุมัติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น 20 เมษายน 51และกำหนดจ่ายในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้
นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้ารายได้ปี51เพิ่มขึ้น 80% เป็น 3,000 ล้านบาท จากเดิมที่2,500 ล้านบาท เนื่องจาก ในช่วงเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์บริษัทได้รับงานมากขึ้นทำให้ขณะนี้มีโครงการที่จะรับรู้ในปีนี้เพิ่มเป็นกว่า 2,000 ล้านบาทจากสิ้นเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาที่มีงานในมือ 1,000 ล้านบาท และบริษัทยังเหลือเวลาอีกว่า 10 เดือนที่จะมีงานเข้ามาเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์ทางการเมืองเข้าสู่ภาวะปกติมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึงแม้ว่าจะล่าช้า แต่งบประมาณใช้จ่ายประจำปี51ของภาครัฐ เป็นกลไกที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะเข้าร่วมทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับธุรกิจหลักของบริษัทอีก 3 บริษัท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ล่าสุดบริษัทได้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท Sojitz Corporation จากประเทศญี่ปุ่น มีทุนจดทะเบียน40 ล้านบาท โดยจะประกอบธุรกิจด้านบริการซ่อมบำรุงรักษาและ Outsourcing ในฐานลูกค้าเดิมของAIT และขยายตลาดสู่ตลาดในกลุ่มบริษัทญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทย และจะเริ่มดำเนินงานได้ในไตรมาส3ปีนี้ โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทปีแรกไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
สำหรับ บริษัทย่อยอีก 2 บริษัท คือ บริษัทเมเปิ้ลพัส ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับระบบแผนที่สารสนเทศภูมิศาสตร์นั้นคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัท 50 ล้านบาท และบริษัทแบงค์เสริฟ ซึ่งทำตลาดในกลุ่มสถาบันการเงินและภาคอุตสาหกรรม โดยจะสร้างรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท รวมถึงบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
"บริษัทเตรียมที่จะขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้นและลงทุนมากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการที่จะเข้าร่วมใน3 บริษัทซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของเรา และเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย รวมถึงการขยายบริการให้กับภาคธุรกิจอื่นมากขึ้น พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี52 ไว้ที่ 6,000 ล้านบาท" นายศิริพงษ์ กล่าว
นายศิริพงษ์ กล่าวว่า รายได้ของบริษัทในปี 2550 มี 1,646 ล้านบาท ลดลง 632 ล้านบาท หรือลดลง 27% จากปี 49 ที่มีรายได้รวม 2,278 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ 94.81 ล้านบาท ลดลง 102.36 ล้านบาทหรือ 51.91% จากปี 49 ที่มีกำไรสุทธิ 197.17 ล้านบาท เพราะความไม่ปกติทางการเมืองและความไม่ชัดเจนในแผนพัฒนาประเทศการจัดตั้งงบประมาณใช้จ่ายประจำปีของภาครัฐล่าช้ากว่าปกติทำให้การดำเนินการโครงการต่างๆของภาครัฐในครึ่งปีแรกชะลอ ส่งผลต่อเนื่องกับภาคเอกชนก็ชะลอการลงทุน แม้ครึ่งปีหลังรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร่งดำเนินการบิกจ่ายงบประมาณงบประมาณ แต่ก็ไม่สามารถรับรู้รายได้ทัน
สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากบริษัทตั้งสำรองการด้อยค่าของอุปกรณ์ที่ลงทุนในการให้บริการเสริมด้านสื่อสารโทรคมนาคม 40 ล้านบาท แต่ถึงแม้บริษัทจะมีกำไรลดลงแต่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดผลประกอบการปีที่ผ่านมาในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท หรือคิดเป็น 97%ของกำไรสุทธิ โดยจะขออนุมัติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น 20 เมษายน 51และกำหนดจ่ายในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้