ธอส.ฟุ้งยอดปล่อยกู้ลด แต่กำไรโต 50% แตะ 3,500 ล้านบาท แถมกำไรดังกล่าวได้หักกันสำรองไปแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าสานต่อโครงการรัฐ พ้อคลังให้เป็นธนาคารเพื่อปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เฉพาะผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง ที่หากำไรได้ยาก แต่กลับให้เป้าปล่อยกู้-กำไรสูง ด้านแนวโน้มดอกเบี้ยรอผลประชุม กนง.คาดในการประชุมปลายเดือนกุมภาฯ นี้ ลดลงอีก 0.25-0.50%
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารยังไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยลง เนื่องจากในระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีการแข่งขันขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้น แต่จะรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปลายเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25-0.5 ขณะที่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะทยอยปรับลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 1 เพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังมีปัญหาอยู่มาก
“อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นขัดแย้งว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะลดลง หรือปรับขึ้นกันแน่ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกพันธบัตรรัฐบาลวงเงิน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในตลาด และเป็นการชี้นำตลาดว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น” นายขรรค์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของ ธอส.ณ สิ้นปี 2550 มีกำไรสุทธิ 3,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 50.28 ที่มีกำไรเพียง 2,329 ล้านบาท เนื่องจากส่วนต่างดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กำไรส่วนหนึ่งยังถูกนำไปกันสำรองตามมาตร IAS 39 อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนยอดสินเชื่อปล่อยใหม่มีจำนวน 94,083 ล้านบาท ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 95,500 ล้านบาท โดยมียอดสินเชื่อคงค้างที่ 577,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.48 ยอดเงินฝาก 487,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.98
โดยมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) (ไม่รวมลูกหนี้ดำเนินคดี) รวม 31,752 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.5 ของยอดสินเชื่อรวม ส่วนสินทรัพย์รอการขายมีจำนวน 7,581 ล้านบาท สามารถจำหน่ายออกไปได้ 2,208 ล้านบาท
นายขรรค์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2551 ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 90,000 ล้านบาท โดยจะเน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อยวงเงินไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ร้อยละ 60 ส่วนที่เหลือร้อยละ 40 เป็นสินเชื่อรายใหญ่หรือเกิน 1.5 ล้านบาท พร้อมทั้งเดินหน้าโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทร, โครงการบ้านมั่นคง, โครงการสินเชื่อสวัสดิการข้าราชการกองทัพอากาศ, โครงการสนับสนุนมูลนิธิที่อยู่อาศัยเพื่อมนุษยชาติและโครงการบ้าน ธอส.-กบข.ครั้งที่ 5
“ทางกระทรวงการคลัง ได้ระบุให้ ธอส.เป็นธนาคารเพื่อปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ซึ่งการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวจะทำกำไรได้ตามสมควรเท่านั้น หรือแทบจะทำกำไรได้น้อยมาก แต่ในทางกลับกัน ธอส.จะต้องสร้างรายได้และกำไรให้มาก เพื่อส่งเงินคืนคลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก ดังนั้น เราจะต้องมาพิจารณาบทบาทของเราให้ดี”
นอกจากนี้ เดินหน้าโครงการป้องกันการเกิด NPL รายย่อยโดยการเน้นสาขาให้ติดตาม และให้คำแนะนำลูกหนี้อย่างใกล้ชิด, โครงการ ธอส.รักการออมเพื่อที่อยู่อาศัย กระตุ้นให้ประชาชนออมเงินก่อนซื้อบ้าน, โครงการสร้างรายได้จากการขาย NPA
ส่วนโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ขณะนี้ได้สถาบันการเงินที่จะมาเข้าร่วมแล้ว หลังจากนี้ จะทำการเซ็นสัญญาและคัดเลือกทรัพย์เพื่อจัดกองขาย ซึ่งอีก 9 เดือนข้างหน้าจะทำการสรุปว่าจะทำการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนหรือไม่
สำหรับโครงการประกันสินเชื่อขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาหลังจากนี้จะนำเรือ่กลับไปให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอีกครั้ง จึงจะเริ่มจัดตั้งบริษัทได้ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทประกันที่เป็นคู่ค้าของ ธอส.แสดงความจำนงร่วมทุนแล้วกว่า 300 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นจะใช้ทุนจดทะเบียนดังกล่าวไปก่อน ส่วนจะมาเพิ่มในภายหลังก็สามารถทำได้
“ส่วนกรณีที่ลูกค้ามีปัญหาจากการนำส่งข้อมูลล่าช้า ทำให้ระบบคำนวณภาษีแบบค้างชำระทำให้ดอกเบี้ยปรับขึ้นสุงกว่าปกติ โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากการนำระบบ Call Banking มาใช้ ซึ่งเป็นระบบใหม่จึงต้องปรับแก้ไขไปทีละส่วนที่มีข้อผิดพลาด ส่วนหนึ่งอาจมาจากการส่งข้อมูลล้าช้า หรือเกิดจากการคีย์ข้อมูลผิดพลาดของพนักงานเพราะเป็นระบบใหม่ โดย ธอส.พร้อมที่จะคำนวณอัตราดอกเบี้ยคืนให้แก่ลูกค้าที่เกิดจากความผิดพลาดของธนาคาร แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาซักระยะ เนื่องจากระบบใหม่จะต้องดึงข้อมูลออกมาดูทั้งหมด โดยเฉพาะสินเชื่อสวัสดิการที่มีอยู่กว่า 1,000 โครงการ” นายขรรค์ กล่าว
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารยังไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยลง เนื่องจากในระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีการแข่งขันขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากระยะสั้น แต่จะรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปลายเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25-0.5 ขณะที่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะทยอยปรับลดดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 1 เพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังมีปัญหาอยู่มาก
“อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นขัดแย้งว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะลดลง หรือปรับขึ้นกันแน่ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกพันธบัตรรัฐบาลวงเงิน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในตลาด และเป็นการชี้นำตลาดว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น” นายขรรค์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของ ธอส.ณ สิ้นปี 2550 มีกำไรสุทธิ 3,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 50.28 ที่มีกำไรเพียง 2,329 ล้านบาท เนื่องจากส่วนต่างดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กำไรส่วนหนึ่งยังถูกนำไปกันสำรองตามมาตร IAS 39 อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนยอดสินเชื่อปล่อยใหม่มีจำนวน 94,083 ล้านบาท ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 95,500 ล้านบาท โดยมียอดสินเชื่อคงค้างที่ 577,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.48 ยอดเงินฝาก 487,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.98
โดยมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) (ไม่รวมลูกหนี้ดำเนินคดี) รวม 31,752 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.5 ของยอดสินเชื่อรวม ส่วนสินทรัพย์รอการขายมีจำนวน 7,581 ล้านบาท สามารถจำหน่ายออกไปได้ 2,208 ล้านบาท
นายขรรค์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2551 ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 90,000 ล้านบาท โดยจะเน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อยวงเงินไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ร้อยละ 60 ส่วนที่เหลือร้อยละ 40 เป็นสินเชื่อรายใหญ่หรือเกิน 1.5 ล้านบาท พร้อมทั้งเดินหน้าโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทร, โครงการบ้านมั่นคง, โครงการสินเชื่อสวัสดิการข้าราชการกองทัพอากาศ, โครงการสนับสนุนมูลนิธิที่อยู่อาศัยเพื่อมนุษยชาติและโครงการบ้าน ธอส.-กบข.ครั้งที่ 5
“ทางกระทรวงการคลัง ได้ระบุให้ ธอส.เป็นธนาคารเพื่อปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ซึ่งการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวจะทำกำไรได้ตามสมควรเท่านั้น หรือแทบจะทำกำไรได้น้อยมาก แต่ในทางกลับกัน ธอส.จะต้องสร้างรายได้และกำไรให้มาก เพื่อส่งเงินคืนคลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก ดังนั้น เราจะต้องมาพิจารณาบทบาทของเราให้ดี”
นอกจากนี้ เดินหน้าโครงการป้องกันการเกิด NPL รายย่อยโดยการเน้นสาขาให้ติดตาม และให้คำแนะนำลูกหนี้อย่างใกล้ชิด, โครงการ ธอส.รักการออมเพื่อที่อยู่อาศัย กระตุ้นให้ประชาชนออมเงินก่อนซื้อบ้าน, โครงการสร้างรายได้จากการขาย NPA
ส่วนโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ขณะนี้ได้สถาบันการเงินที่จะมาเข้าร่วมแล้ว หลังจากนี้ จะทำการเซ็นสัญญาและคัดเลือกทรัพย์เพื่อจัดกองขาย ซึ่งอีก 9 เดือนข้างหน้าจะทำการสรุปว่าจะทำการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนหรือไม่
สำหรับโครงการประกันสินเชื่อขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาหลังจากนี้จะนำเรือ่กลับไปให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอีกครั้ง จึงจะเริ่มจัดตั้งบริษัทได้ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทประกันที่เป็นคู่ค้าของ ธอส.แสดงความจำนงร่วมทุนแล้วกว่า 300 ล้านบาท โดยในเบื้องต้นจะใช้ทุนจดทะเบียนดังกล่าวไปก่อน ส่วนจะมาเพิ่มในภายหลังก็สามารถทำได้
“ส่วนกรณีที่ลูกค้ามีปัญหาจากการนำส่งข้อมูลล่าช้า ทำให้ระบบคำนวณภาษีแบบค้างชำระทำให้ดอกเบี้ยปรับขึ้นสุงกว่าปกติ โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากการนำระบบ Call Banking มาใช้ ซึ่งเป็นระบบใหม่จึงต้องปรับแก้ไขไปทีละส่วนที่มีข้อผิดพลาด ส่วนหนึ่งอาจมาจากการส่งข้อมูลล้าช้า หรือเกิดจากการคีย์ข้อมูลผิดพลาดของพนักงานเพราะเป็นระบบใหม่ โดย ธอส.พร้อมที่จะคำนวณอัตราดอกเบี้ยคืนให้แก่ลูกค้าที่เกิดจากความผิดพลาดของธนาคาร แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาซักระยะ เนื่องจากระบบใหม่จะต้องดึงข้อมูลออกมาดูทั้งหมด โดยเฉพาะสินเชื่อสวัสดิการที่มีอยู่กว่า 1,000 โครงการ” นายขรรค์ กล่าว