xs
xsm
sm
md
lg

เมเจอร์ร่วมทุนพีวีอาร์ลุยอินเดีย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมเจอร์ เปิดแผนโกอินเตอร์ ร่วมทุนพันธมิตรท้องถิ่น นำร่องตลาดอินเดีย ดึงพีวีอาร์ยักษ์โรงหนังมัลติเพล็กซ์ ผุดบริษัทร่วมทุนสัดส่วนเมเจอร์ 49% ลุยโบว์ลิ่ง คาราโอเกะ สเก๊ต เกมส์โซน ยกเว้นโรงหนัง คาดลงทุน 500 ล้านบาทใน 3 ปีแรก ผุด 200 เลน

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนลงทุนในต่างประเทศ โดยจะเน้นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นอย่างดี ซึ่งตลาดที่น่าสนใจเช่น อินเดีย สิงคโปร์ และอีก 2-3 ประเทศในเอเซีย ซึ่งล่าสุดได้สรุปการลงทุนในประเทศอินเดียแล้วถือเป็นประเทศแรกที่เมเจอร์ฯลงทุนในต่างประเทศ ส่วนก่อนหน้านี้ก็มีการเจรจากับทางสิงคโปร์แต่ยังไม่สรุป

อย่างไรก็ตามนายวิชาไม่ได้กล่าวปฎิเสธหรือยอมรับว่า ประเทศที่เหลือจะใช่ เวียดนามและจีนหรือไม่ ทั้งนี้การรุกประเทศอินเดีย ทางเมเจอร์ฯได้ตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาใหม่กับทางบริษัท พีวีอาร์ ซีนีม่าร์ จำกัด (มหาชน) โดยมีเงินลงทุนประมาณ 90 ล้านรูปี หรือประมาณ 90-100 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนการถือหุ้นดังนี้ เมเจอร์ฯลงทุน 49% คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 38.6 ล้านบาท (ใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 คือ 1 บาท เท่ากับ 0.8750 รูปี ) ส่วนบริษัท พีวีอาร์ฯลงทุน 51%

โดยบริษัทร่วมทุนใหม่นี้มีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจโบว์ลิ่งโดยนำแบรนด์บลูโอริธึ่มแอนด์โบวล์ไปเปิดบริการต่างประเทศเป็นครั้งแรก คาราโอเกะ ลานสเก๊ตน้ำแข็งและเกมส์โซน ทั่วประเทศอินเดีย ยกเว้นธุรกิจโรงภาพยนตร์ แต่ในอนาคตหากมีโอกาสก็อาจจะมีความเป็นไปได้ ซึ่งช่วงแรกคาดว่าจะเปิดบริการโบวลิ่งได้ประมาณ 20 เลนใน 5 เดือนจากนี้ และเป้าหมายระยะยาวเปิด 150-200 เลนภายใน 3 ปี ด้วยงบลงทุนประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายพื้นที่หลักๆใน 15 เมืองใหญ่ๆเช่น มุมไบ บังกะลอร์ เดลี เป็นต้น ซึ่งจะกระจายไปทั้งในโรงหนังเดิมของพีวีอาร์และที่จะเปิดใหม่อีกด้วย

“ที่อินเดีย มีโบว์ลิ่งเปิดบริการน้อยมาก เช่นที่เมืองเดลลี มีประชากรมากกว่า 13 ล้านคนแต่มีโบว์ลิ่งประมาณ 10 กว่าเลนเท่านั้นและเก่ามากด้วย” นายวิชากล่าว

นายวิชาให้เหตุผลถึงการเลือกพีวีอาร์เป็นพันธมิตรว่า เนื่องจากเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจคล้ายกับเมเจอร์นมาก ทั้งเป็นผู้สร้างหนัง สร้างโรงภาพยนตร์ ใหญ่ที่สุดในอินเดีย มีอัตราการเข้าใช้ของผู้บริโภคมากกว่า 65% ซึ่งถือว่าสูงมาก เจ้าของเป็นคนรุ่นใหม่ และการลงทุนครั้งนี้ใช้เงินลงทุนไม่สูงมากนัก ซึ่งพันธมิตรจะหาทำเล เราซัพพอร์ทด้านโนว์ฮาว์
ด้านการลงทุนนั้น คาดว่าจะใช้เม็ดเงินใกล้เคียงกับการลงทุนเปิดโบว์ลิ่งในไทย ส่วนการคืนทุนนั้น คาดว่าหากเปิดเต็มระบบแล้วน่าจะคืนทุนภายในช่วง 2-3 ปี

“สิ่งที่เราทำมาทั้งโรงหนัง คาราโอเกะ โบว์ลิ่ง และอื่นๆ รวมทั้งประสบการณ์เป็นโมเดลที่สามารถรุกตลาดต่างประเทศได้อยู่แล้ว”

นายเอเจย์ บิจลี่ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พีวีอาร์ ซีนีม่าร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากความร่วมมือกันครั้งนี้จะส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งพีวีอาร์ตั้งใจจะทำธุรกิจบันเทิงให้ครบวงจรทั้งโรงหนัง โบว์ลิ่ง คาราโอเกะ ลานสเก๊ตน้ำแข็ง เกมส์โซน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนอินเดียที่มีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่ยังไม่มีสถานบันเทิงที่รองรับความต้องการได้ นอกจากนั้นบริษัทฯยังได้ทำสัญญากับทางบริษัท ลิต ไบร์ท คอนเซ็ปท์ จำกัด ในการจัดทำศูนย์อาหารให้กับสาขาต่างๆทั่วประเทศด้วย

ปัจจุบันพีวีอาร์ เป็นผู้นำธุรกิจโรงภาพยนตร์ในอินเดียซึ่งเปิดให้บริการแบบมัลติเพล็กซ์เป็นรายแรกในอินเดีย มีรวมทั้งสิ้น 24 สาขา จำนวน 95 โรง กระจายใน 14 เมืองหลัก มีผู้ชมเฉลี่ย 20 ล้านคนต่อปี เปิดให้บริการ 2 แบรนด์คือ พีวีอาร์ทอล์คกี้ เป็นแบบโลว์คอสต์ซีนีม่า และแบรนด์ พีวีอาร์ พรีเมียร์ เป็นแบบระดับพรีเมี่ยม อีกทั้งยังจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์บอมเบย์ด้วย

สำหรับศักยภาพของตลาดอินเดียนั้นถือว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจอย่างมาก ด้วยจำนวนประากรกว่า 1,000 ล้านคน หรือ 17% ของประชากรโลก และมากกว่า 250 ล้านคนที่มีกำลังซื้อสูง อัตราการขยายตัวของประชากรมากกว่า 18 ล้านคนต่อปี มีบัญชีเงินกู้ 350 ล้านบัญชี มีการเปิดบัญชีใหม่มูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ใน 3 ปี

โดยอินเดียเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 11 ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม และเป็นลำดับที่ 13 ของประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติใหญ่เป็นลำดับที่ 5 รองจากอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เยอรมัน และคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติจะโตถึง 8% ซึ่งหมายความว่าการขยายตัวของผู้บริโภคสูงถึง 20-25% ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมทางด้านธุรกิจสื่อ มีทีวีมากกว่า 50 ช่องแต่ไม่มีสถานีทีวีท้องถิ่น ทำให้ต้นทุนต่อการขายสื่อมีราคาแพง ขณะที่รายได้ของการจัดจำหน่ายภาพยนตร์นั้น มาจาก ภาพยนตร์ภายในประเทศเป็นหลักมากกว่าหนังต่างประเทศ 8% โฮมวิดีโอเอนเตอร์เทนและอื่นๆ รวม 16%
กำลังโหลดความคิดเห็น