xs
xsm
sm
md
lg

เมเจอร์ฯลุยโฮมเอนเตอร์เทน ยึดมีเดียเน็ตเวิร์ก-รุกรีเทลเอาต์เลต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ใช้บริษัท เอ็มพิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำด (มหาชน) เข้าถือหุ้นในแปซิฟิค มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กรุ้ป  (โดยเมเจอร์ ถือหุ้นใน แปซิฟิค มาร์เก็ตติ้งฯอยู่แล้ว 97%)  และ2.บริษัท มีเดีย เน็ตเวิร์ก รีเทล จำกัด เพื่อรุกธุรกิจโฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์
เมเจอร์ วางหมากสู้แผ่นผี ส่ง “เอ็ม พิคเจอร์ส” ควบ 2 บริษัท คือ แปซิฟิค มาร์เก็ตติ้ง และ มีเดีย เน็ตเวิร์ก ลุยธุรกิจภาพยนตร์ โฮม เอนเตอร์เทนเมนต์ แบบครบวงจร พร้อมเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 300 ล้านบาท ขยายสาขาและพัฒนาช่องทางขายส่งและปลีกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เชื่อเห็นความแข็งแกร่งชัดเจนปีหน้า ด้วยรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่เมเจอร์ฯได้เข้าไปถือหุ้น 41% ในบริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เมื่อมีนาคมที่ผ่านมา ในการดำเนินธุรกิจเป็นผู้บริหารจัดการลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ระดับแนวหน้า โดยเฉพาะภาพยนตร์ต่างประเทศจากค่ายอิสระ เพื่อนำเข้ามาฉายในโรงภาพยนตร์ และเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ในประเทศไทยนั้น มองว่า หากต้องการให้อุตสาหกรรมโฮมเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เมืองไทย เติบโตมากกว่าที่ควรจะเป็นอยู่นี้ เราต้องมีการลงทุนและพัฒนาธุรกิจนี้ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

ดังนั้น ล่าสุด ในนามของ เอ็ม พิคเจอร์ส จึงได้มีการเจรจาดึงเอา 2 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโฮม เอนเตอร์เทนเมนต์  มาเป็นส่วนหนึ่งของเอ็ม พิคเจอร์ส คือ 1.บริษัท แปซิฟิค มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กรุ้ป จำกัด (โดยเมเจอร์ ถือหุ้นใน แปซิฟิค มาร์เก็ตติ้ง อยู่แล้ว 97%) ผู้จำหน่ายภาพยนตร์รายใหญ่ สู่ตลาด โฮม เอนเตอร์เทนเมนต์ เน้นภาพยนตร์จากค่ายใหญ่จากฮอลลีวูด หรือที่เรียกว่า ค่าย เมเจอร์ สตูดิโอ และ 2.บริษัท มีเดีย เน็ตเวิร์ก รีเทล จำกัด ผู้บริหารช่องทางการขายสู่ตลาดรายย่อย ซึ่งมี เอาต์เลต กระจายสินค้ามากกว่า 150 จุดทั่วประเทศ เชื่อว่า จะทำให้การดำเนินธุรกิจแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

“การผนึกกำลังกันในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับ เอ็ม พิคเจอร์ส สู่การดำเนินธุรกิจ โฮม เอนเตอร์เทนเมนต์ แบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เริ่มจากการเป็นผู้ผลิต การมีโรงภาพยนตร์ในเครือ การเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์สำหรับตลาด โฮม เอนเตอร์เทนเมนต์ และการมีช่องทางการจำหน่ายในส่วนรีเทล เชื่อว่า จะทำให้ธุรกิจภาพยนตร์ โฮม เอนเตอร์เทนเมนต์ นี้ มีความแข็งแกร่ง และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในส่วนของรากหญ้า ที่ในขณะนี้ส่วนใหญ่จะนิยมซื้อแผ่นผี หรือแผ่นละเมิดลิขสิทธิ์มาชมกัน คาดว่า จะทำให้ตลาดแผ่นผีจะลดลงได้บ้าง”

นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็มพิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า แผนการควบทั้ง 2 บริษัท มาเป็นส่วนหนึ่งของ เอ็ม พิคเจอร์ส จะเรียบร้อยสมบูรณ์ได้ในช่วงเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ ดังนั้น คาดว่า ในช่วงไตรมาส 4 นี้ จึงจะเริ่มดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ปีนี้คาดว่า เอ็ม พิคเจอร์ส จะมีรายได้ประมาณ 400-500 ล้านบาท แต่หลังจากได้ 2 บริษัทนี้เข้ามาแล้ว คาดว่า ปีหน้าน่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจครั้งนี้ ทาง เอ็ม พิคเจอร์ส จะเพิ่มทุนเพื่อซื้อ  แปซิฟิค มาร์เก็ตติ้ง และ มีเดีย เน็ตเวิร์ก พร้อมๆ กับการเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อสำรองใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานทั้งในส่วนขยายสาขาและพัฒนาช่องทางค้าปลีกและค้าส่ง คาดว่า จะได้เงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้อีกประมาณ 300 ล้านบาท รวมเป็น 640 ล้านบาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียนอยู่ 360 ล้านบาท โดยภายหลังการทำรายการนั้น เอ็ม พิคเจอร์ส จะถือหุ้น 100% ทั้งใน แปซิฟิค มาร์เก็ตติ้ง และ มีเดีย เน็ตเวิร์ก ขณะที่เมเจอร์จะมีหุ้นในเอ็มพิคเจอร์ส เพิ่มขึ้นเป็น 45%

ด้าน นายสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีเดีย เน็ตเวิร์ก รีเทล จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่เข้าร่วมกับทาง เอ็ม พิคเจอร์ส นี้ เบื้องต้นได้มีการพูดคุยถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจกันบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ชัดเจนในขณะนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ช่วงปลายปีน่าจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น รวมถึงโมเดลบิซิเนสใหม่ที่ได้ร่วมวางแผนกันไว้ ขณะที่การขยายสาขาคาดว่าปีนี้จะขยายเพิ่มอีก 20-30 สาขา จากปัจจุบันที่มีเอาต์เลต จำหน่ายสินค้า โฮม เอนเตอร์เทนเมนต์ ทั่วประเทศรวมกว่า 150 สาขา ทั้งในเทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, คาร์ฟูร์, ท็อปส์ รวมถึงเดอะมอลล์, โรบินสัน และสยามพารากอน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้บริหารพื้นที่ขายใน โลตัส เอ็กซ์เพรส กว่า 300 แห่ง รวมถึงช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่นอีกกว่า 4,400 สาขาด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น