ตลาดหุ้นไทยวันนี้พุ่งขึ้นไม่แรงนัก แม้จะมีแรงหนุนจากตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น โดยนักลงทุนรอผลการพิจารณามาตรการสำรอง 30% เซียนหุ้นคาดพรุ่งนี้หุ้นไทยฝากลมหาใจไว้กับผลสรุปหารือคลัง-แบงก์ชาติ หากออกมาดี แนวโน้มพรุ่งนี้ คงพุ่งกระฉูด ลุ้นขึ้นทดสอบ 830 บวก
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(12 ก.พ.) ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 817.49 จุด เพิ่มขึ้น 13.34 จุด เปลี่ยนแปลง +1.66% มูลค่าการซื้อขาย 25,676.85 ล้านบาท โดยบรรยากาศในการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดเทรดช่วงเช้าบวกกว่า 2% ส่วนช่วงบ่ายดัชนีแกว่งตัวในทิศทางที่อ่อนลง แต่ยังยืนบวกได้ดี
โดยวันนี้ ดัชนีขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 820.54 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 807.84 จุด หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 258 หลักทรัพย์ ลดลง 79 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 106 หลักทรัพย์
สำหรับสัดส่วนการลงทุน วันนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,685.76 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 450.80 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,136.57 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ ระบุ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ปรับขึ้นแรงและเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน ทั้งนี้เนื่องมาจากนักลงทุนมีแรงซื้อหุ้นที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่เข้ามาหนาแน่น ภายหลังจากมีความคาดหวังเชิงบวกว่าผลการหารือระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีกระแสเงินทุนต่างชาติเข้ามาการลงทุนทางตรงในประเทศเพิ่มขึ้น
ซึ่งเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาพักในตลาดตราสารหนี้ รวมถึงลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มที่จะโยกมาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน จึงมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาอย่างคึกคักและผลักดันให้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ยืนในแดนบวกก็ส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุนและทำให้ดัชนีฯเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน ประกอบกับทาง บล.ซีแอลเอสเอ(ประเทศไทย) หรือ CLSA ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น 3% จาก 1% ในปีก่อน หลังได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งอีกทั้งมองว่าตลาดหุ้นปีนี้จะดีกว่าปีก่อน หลังราคาหุ้นลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปหมดแล้วก็ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงุทนในตลาดหุ้นไทยวันนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการเคลื่อนไหวดัชนีฯในวันพรุ่งนี้อาจขึ้นอยู่กับผลการหารือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และกระทรวงการคลังถึงมาตรการกันสำรองการลงทุน 30% ที่น่าจะได้ข้อสรุปเย็นวันนี้ว่าผลจะออกมาให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากมีมติยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ก็จะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจในแง่ของการสร้างความเชื่อมั่นในกับนักลงทุนต่างชาติและช่วยกระตุ้นเงินทุนไหลเข้าประเทศ โดยอาจส่งผลให้ดัชนีปรับขึ้นได้แรง แต่หากออกมาในทางตรงข้ามคือยังไม่ยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุน30% ก็จะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมากดดันให้ดัชนีฯปรับลดลง
นอกจากนี้แนะนำให้นักลงทุนติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศเพราะอาจส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ได้รับผลดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและการบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น เช่น KBANK แนวรับ 807 จุด แนวต้าน 830 จุด
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,316.54 ล้านบาท ปิดที่ 324.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท , SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,767.60 ล้านบาท ปิดที่ 89.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท , KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,708.15 ล้านบาท ปิดที่ 90.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท , PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,216.94 ล้านบาท ปิดที่ 38.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท , BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,196.71 ล้านบาท ปิดที่ 124.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(12 ก.พ.) ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 817.49 จุด เพิ่มขึ้น 13.34 จุด เปลี่ยนแปลง +1.66% มูลค่าการซื้อขาย 25,676.85 ล้านบาท โดยบรรยากาศในการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดเทรดช่วงเช้าบวกกว่า 2% ส่วนช่วงบ่ายดัชนีแกว่งตัวในทิศทางที่อ่อนลง แต่ยังยืนบวกได้ดี
โดยวันนี้ ดัชนีขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 820.54 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 807.84 จุด หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 258 หลักทรัพย์ ลดลง 79 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 106 หลักทรัพย์
สำหรับสัดส่วนการลงทุน วันนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,685.76 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 450.80 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,136.57 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ ระบุ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ปรับขึ้นแรงและเคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน ทั้งนี้เนื่องมาจากนักลงทุนมีแรงซื้อหุ้นที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่เข้ามาหนาแน่น ภายหลังจากมีความคาดหวังเชิงบวกว่าผลการหารือระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีกระแสเงินทุนต่างชาติเข้ามาการลงทุนทางตรงในประเทศเพิ่มขึ้น
ซึ่งเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาพักในตลาดตราสารหนี้ รวมถึงลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มที่จะโยกมาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน จึงมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาอย่างคึกคักและผลักดันให้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ยืนในแดนบวกก็ส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุนและทำให้ดัชนีฯเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน ประกอบกับทาง บล.ซีแอลเอสเอ(ประเทศไทย) หรือ CLSA ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น 3% จาก 1% ในปีก่อน หลังได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งอีกทั้งมองว่าตลาดหุ้นปีนี้จะดีกว่าปีก่อน หลังราคาหุ้นลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปหมดแล้วก็ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงุทนในตลาดหุ้นไทยวันนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการเคลื่อนไหวดัชนีฯในวันพรุ่งนี้อาจขึ้นอยู่กับผลการหารือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และกระทรวงการคลังถึงมาตรการกันสำรองการลงทุน 30% ที่น่าจะได้ข้อสรุปเย็นวันนี้ว่าผลจะออกมาให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากมีมติยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ก็จะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจในแง่ของการสร้างความเชื่อมั่นในกับนักลงทุนต่างชาติและช่วยกระตุ้นเงินทุนไหลเข้าประเทศ โดยอาจส่งผลให้ดัชนีปรับขึ้นได้แรง แต่หากออกมาในทางตรงข้ามคือยังไม่ยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุน30% ก็จะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมากดดันให้ดัชนีฯปรับลดลง
นอกจากนี้แนะนำให้นักลงทุนติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศเพราะอาจส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ได้รับผลดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและการบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น เช่น KBANK แนวรับ 807 จุด แนวต้าน 830 จุด
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,316.54 ล้านบาท ปิดที่ 324.00 บาท เพิ่มขึ้น 8.00 บาท , SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,767.60 ล้านบาท ปิดที่ 89.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท , KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,708.15 ล้านบาท ปิดที่ 90.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท , PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,216.94 ล้านบาท ปิดที่ 38.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท , BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,196.71 ล้านบาท ปิดที่ 124.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
