สศค.เผยกองทุน UTILICO EMERGING จากอังกฤษ ขอข้อมูลเศรษฐกิจไทยประกอบการตัดสินใจเพิ่มพอร์ตลงทุน โดยจะเน้นลงทุนเฉพาะสาธารณูปโภคพื้นฐานในตลาดเกิดใหม่เท่านั้น ระบุ ผลตอบแทนการลงทุนในไทยเป็นที่น่าพอใจ แต่ต้องการความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล หวั่นไทยปรับตัวช้าประเทศคู่แข่งจี้ติดหายใจรดต้นคอ
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงิน สำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Mr.Jonathan Chi และ นาย Charl Jillings ผู้จัดการกองทุน UTILICO EMERGING MARKETS LIMITED จากประเทศอังกฤษ ได้เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อขอข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจเพื่อใช้ในการพิจารณาประกอบการตัดสินใจปรับสัดส่วนพอร์ตลงทุน
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีขนาดสินทรัพย์ลงทุนทั่วโลกจำนวน 70,000 ล้านบาท มีนโยบายการลงทุนในกิจการสาธารณูปโภคเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีสัดส่วนการลงทุนในประเทศไทยจำนวน 6.5% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมดหรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,550 ล้านบาท ลดลงจากเมื่อช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ที่มีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 8.2% จากพอร์ตการลงทุนรวม
โดยการลงทุนในประเทศไทยของ UTILICO ที่ผ่านมา ถือว่าให้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ ยกเว้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองและความเชื่อมั่นที่ลดลง ทำให้กองทุนรายนี้ลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยลงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และบริษัทที่กองทุนเข้ามาลงทุนส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ผูกขาด หรือได้รับสัมปทานในการให้บริการสาธารณูปโภคกับประชาชนทั่วไป เช่น ทางด่วน น้ำประปา โรงงานผลิตไฟฟ้า เป็นต้น
สำหรับประเด็นที่ผู้จัดการกองทุน UTILICO สนใจเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจการเงินไทยประกอบไปด้วย การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต โดยยกตัวอย่างการลงทุนของประเทศจีนที่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นปีละ 7% ขณะที่ประเทศไทยมีการลงทุนเพิ่มเพียงปีละ 1% นอกจากนี้ ประเทศไทยควรจะพัฒนาคุณภาพการศึกษา เนื่องจากเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพราะการพัฒนาจะพึ่งพาแรงงานราคาถูกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ความสำคัญกับแรงงานที่มีทักษะสูงจะมีความเหมาะสมกว่า
ส่วนนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาต้องมีความชัดเจนที่จะเอื้ออำนวยต่อการลงทุนของนักธุรกิจต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นของกฎหมายการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว กฎหมายค้าปลีกค้าส่งและมาตรการกันสำรอง 30% เป็นต้น ในขณะที่นโยบายและแผนการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวจะเป็นไปในทิศทางใดจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างไร
“สถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะมีความมั่นคงมากน้อยเพียงใดจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้หยุดชะงักหรือไม่ ซึ่งประเทศไทยจะหยุดนิ่งไม่ได้แล้ว เพราะประเทศอื่นๆ ที่เคยล้าหลังประเทศไทยกำลังพัฒนาจนเกือบทันและอาจแซงประเทศไทยได้ในไม่ช้านี้” นายโชติชัยกล่าว
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงิน สำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Mr.Jonathan Chi และ นาย Charl Jillings ผู้จัดการกองทุน UTILICO EMERGING MARKETS LIMITED จากประเทศอังกฤษ ได้เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อขอข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจเพื่อใช้ในการพิจารณาประกอบการตัดสินใจปรับสัดส่วนพอร์ตลงทุน
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีขนาดสินทรัพย์ลงทุนทั่วโลกจำนวน 70,000 ล้านบาท มีนโยบายการลงทุนในกิจการสาธารณูปโภคเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีสัดส่วนการลงทุนในประเทศไทยจำนวน 6.5% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมดหรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,550 ล้านบาท ลดลงจากเมื่อช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ที่มีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 8.2% จากพอร์ตการลงทุนรวม
โดยการลงทุนในประเทศไทยของ UTILICO ที่ผ่านมา ถือว่าให้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ ยกเว้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองและความเชื่อมั่นที่ลดลง ทำให้กองทุนรายนี้ลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยลงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และบริษัทที่กองทุนเข้ามาลงทุนส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ผูกขาด หรือได้รับสัมปทานในการให้บริการสาธารณูปโภคกับประชาชนทั่วไป เช่น ทางด่วน น้ำประปา โรงงานผลิตไฟฟ้า เป็นต้น
สำหรับประเด็นที่ผู้จัดการกองทุน UTILICO สนใจเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจการเงินไทยประกอบไปด้วย การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต โดยยกตัวอย่างการลงทุนของประเทศจีนที่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นปีละ 7% ขณะที่ประเทศไทยมีการลงทุนเพิ่มเพียงปีละ 1% นอกจากนี้ ประเทศไทยควรจะพัฒนาคุณภาพการศึกษา เนื่องจากเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพราะการพัฒนาจะพึ่งพาแรงงานราคาถูกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ความสำคัญกับแรงงานที่มีทักษะสูงจะมีความเหมาะสมกว่า
ส่วนนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาต้องมีความชัดเจนที่จะเอื้ออำนวยต่อการลงทุนของนักธุรกิจต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นของกฎหมายการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว กฎหมายค้าปลีกค้าส่งและมาตรการกันสำรอง 30% เป็นต้น ในขณะที่นโยบายและแผนการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวจะเป็นไปในทิศทางใดจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างไร
“สถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะมีความมั่นคงมากน้อยเพียงใดจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้หยุดชะงักหรือไม่ ซึ่งประเทศไทยจะหยุดนิ่งไม่ได้แล้ว เพราะประเทศอื่นๆ ที่เคยล้าหลังประเทศไทยกำลังพัฒนาจนเกือบทันและอาจแซงประเทศไทยได้ในไม่ช้านี้” นายโชติชัยกล่าว