ผู้บริหาร “บ้านปู” แจงเหตุราคาหุ้นพุ่งในช่วงที่ผ่านมาได้รับอานิสงส์จากราคาถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังคงเป้ารายได้ปี 51 โตจากปีก่อนที่ 13% อ้างราคาถ่านหินทรงตัวในระดับสูงไม่แน่นอน “ชนินท์” คาด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯฉบับแก้ไขประกาศใช้ภายในปลายปีนี้ เดินหน้าจับมือตลาดหุ้น-ก.ล.ต.จัดสัมมนาชี้แจง บจ.ทั้งตลาด
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผย กรณีที่ราคาหุ้น BANPU ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ว่า เกิดจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้น จาก 3 ปัจจัย คือ การที่น้ำท่วมในรัฐควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย การขาดแคลนถ่านหินเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอในประเทศจีน ทำให้ประเทศจีนมีการประกาศงดการส่งออกถ่านหินเป็นเวลา 2 เดือน คือ ในเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนมีนาคม และจากการที่แอฟริกาใต้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอจากที่มีการเก็บสตอกถ่านหินไม่เพียงพอ
จากปัจจัยทั้ง 3 ประการดังกล่าวเกิดในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน บวกกับเป็นช่วงที่ราคาถ่านหินมีการตึงตัวอยู่แล้ว จึงทำให้ราคาถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งราคาถ่านหินในออสเตรเลียเดิมอยู่ที่ระดับ 90 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เพิ่มขึ้นสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าราคาถ่านหินจะยังทรงตัวในระดับราคาดังกล่าวนานเท่าไร
“บริษัทคาดว่า ราคาถ่านหินในปีนี้จะตึงตัวจาก 3 เหตุการณ์ที่เกิดใกล้เคียงกัน คือ น้ำท่วมในออสเตรเลีย การสตอกถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้าในแอฟริกาใต้ไม่เพียงพอ และการขาดแคลนถ่านหินในประเทศจีน แต่ราคาถ่านหินจะทรงตัวสูงเป็นระยะเวลาที่นานหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบได้” นายชนินท์ กล่าวว่า
สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบ้านปูในปีนี้ (1 ม.ค.-5 ก.พ.) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 44 บาท หรือเพิ่มขึ้น 11% ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวสูงสุดในหมวดอุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค โดยราคาหุ้นปรับตัวสูงสุดอยู่ที่ 460 บาท วันที่ 31 มกราคม และปรับตัวต่ำสุดอยู่ที่ 352 บาท เมื่อวันที่ 7 มกราคม
ด้านประมาณการสำหรับผลการดำเนินงานในปี 2551 นั้น ขณะนี้บริษัทยังไม่ปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่ทราบว่าราคาถ่านหินปรับตัวในระดับสูงนานเท่าไร โดยยังคงเป้ารายได้ปีนี้โต 13% จากปี 2550 ส่วนการที่ประเทศจีนมีการประกาศงดการส่งออกถ่านหิน 2 เดือนนั้น คำสั่งซื้อซื้อถ่านหินของบริษัทอยู่ในระดับที่เหมาะสมในระดับปกติไม่ได้มีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นมากนัก โดยที่ผ่านมาบริษัทคาดว่ารายได้ปี 2550 ปรับตัวลดลง 7% จากปี 2549 ที่มีรายได้รวม 33,378.26 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการที่สหรัฐอเมริกามีปัญหาในเรื่องสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) นั้นมีผลกระทบต่อการการใช้จ่ายและมีการใช้พลังงานที่น้อยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันให้ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง ได้ส่งผลต่อราคาถ่านหินด้วยเช่นกัน โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/51 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/50 ที่มีรายได้รวม 8,167.67 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,193.69 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ นายชนินท์ กล่าวในฐานะอุปนายกและกรรมการสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ว่า พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ 2535 (ฉบับแก้ไข) นั้น คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ประมาณปลายปีนี้ ซึ่งเชื่อว่า พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯใหม่นี้ จะมีความยืดหยุ่น และมีความชัดเจนมากขึ้นเพื่อจะได้ไม่ต้องมีการตีความสามารถที่จะปฏิบัติได้ทันทีโดยเฉพาะบทบาทหน้าที่การรับผิดชอบของกรรมการ ผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน และให้บริษัทจดทะเบียนมีการแต่งตั้งเลขานุการบริษัทซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะเน้นในเรื่องโครงสร้างของบริษัทด้านงานเอกสารต่างๆของบริษัทจดทะเบียนมีความถูกต้องมากขึ้นส่วนในเรื่องบทลงโทษนั้นก็มองว่ามีความสมเหตุสมผล
ทั้งนี้ ก.ล.ต.ต้องการให้ตลาดทุนมีการปรับตัวมากขึ้น โดยที่จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับตลาดทุนขึ้นมาเพื่อที่จะดูและในเรื่องการออกประกาศต่างๆ หรือมีการแก้ไขเกณฑ์ตลาดทุนให้มีการพัฒนามากขึ้น โดยจะมีผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่มีส่วนได้เสียเข้ามาเป็นคณะกรรมการ 1 หรือ 2 คน ในคณะกรรมการชุดนี้ โดยคาดว่า คณะกรรมการกำกับตลาดทุนนี้จะจัดตั้งขึ้นได้หลังจากที่พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฉบับใหม่มีการประกาศใช้
สำหรับจากนี้ไปทางสมาคม บจ.จะร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ก.ล.ต.จัดสัมมนาชี้แจง และเตรียมความพร้อมของบริษัทจดทะเบียนสำหรับกฎหมายใหม่การปรับปรุงกฎเกณฑ์เกี่ยวกับความรับผิดชอบของกรรมการผู้บริการ และเลขานุการ บทบาทหน้าที่ของกรรมการตรวจสอบและผู้สอบบัญชีของบริษัท และสิทธิของผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน ตาม พ.ร.บ.ฉบับแก้ไขใหม่นี้ เพื่อให้ บจ.ทั้งหมดกว่า 500 บริษัทได้ทราบและมีความเข้าใจเพื่อที่จะมีการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
นายชนินท์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางสมาคม บจ.ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์และสมาคมต่างๆ จัดทำข้อเสนอให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ เพื่อให้สนับสนุนและพัฒนาตลาดทุนไทยเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลอีกนโยบายหนึ่ง เพราะ ตลาดทุนถือว่ามีความสำคัญต่อพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งระดมทุนอีกทางหนึ่งนอกจากการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ และมีตุ้นที่ต่ำ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทุน ออกตราสารหนี้ ฯลฯ
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผย กรณีที่ราคาหุ้น BANPU ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ว่า เกิดจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้น จาก 3 ปัจจัย คือ การที่น้ำท่วมในรัฐควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย การขาดแคลนถ่านหินเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอในประเทศจีน ทำให้ประเทศจีนมีการประกาศงดการส่งออกถ่านหินเป็นเวลา 2 เดือน คือ ในเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนมีนาคม และจากการที่แอฟริกาใต้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอจากที่มีการเก็บสตอกถ่านหินไม่เพียงพอ
จากปัจจัยทั้ง 3 ประการดังกล่าวเกิดในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน บวกกับเป็นช่วงที่ราคาถ่านหินมีการตึงตัวอยู่แล้ว จึงทำให้ราคาถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งราคาถ่านหินในออสเตรเลียเดิมอยู่ที่ระดับ 90 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เพิ่มขึ้นสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าราคาถ่านหินจะยังทรงตัวในระดับราคาดังกล่าวนานเท่าไร
“บริษัทคาดว่า ราคาถ่านหินในปีนี้จะตึงตัวจาก 3 เหตุการณ์ที่เกิดใกล้เคียงกัน คือ น้ำท่วมในออสเตรเลีย การสตอกถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้าในแอฟริกาใต้ไม่เพียงพอ และการขาดแคลนถ่านหินในประเทศจีน แต่ราคาถ่านหินจะทรงตัวสูงเป็นระยะเวลาที่นานหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบได้” นายชนินท์ กล่าวว่า
สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบ้านปูในปีนี้ (1 ม.ค.-5 ก.พ.) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 44 บาท หรือเพิ่มขึ้น 11% ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวสูงสุดในหมวดอุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค โดยราคาหุ้นปรับตัวสูงสุดอยู่ที่ 460 บาท วันที่ 31 มกราคม และปรับตัวต่ำสุดอยู่ที่ 352 บาท เมื่อวันที่ 7 มกราคม
ด้านประมาณการสำหรับผลการดำเนินงานในปี 2551 นั้น ขณะนี้บริษัทยังไม่ปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่ทราบว่าราคาถ่านหินปรับตัวในระดับสูงนานเท่าไร โดยยังคงเป้ารายได้ปีนี้โต 13% จากปี 2550 ส่วนการที่ประเทศจีนมีการประกาศงดการส่งออกถ่านหิน 2 เดือนนั้น คำสั่งซื้อซื้อถ่านหินของบริษัทอยู่ในระดับที่เหมาะสมในระดับปกติไม่ได้มีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นมากนัก โดยที่ผ่านมาบริษัทคาดว่ารายได้ปี 2550 ปรับตัวลดลง 7% จากปี 2549 ที่มีรายได้รวม 33,378.26 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการที่สหรัฐอเมริกามีปัญหาในเรื่องสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) นั้นมีผลกระทบต่อการการใช้จ่ายและมีการใช้พลังงานที่น้อยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันให้ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง ได้ส่งผลต่อราคาถ่านหินด้วยเช่นกัน โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/51 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/50 ที่มีรายได้รวม 8,167.67 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,193.69 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ นายชนินท์ กล่าวในฐานะอุปนายกและกรรมการสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ว่า พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ 2535 (ฉบับแก้ไข) นั้น คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ประมาณปลายปีนี้ ซึ่งเชื่อว่า พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯใหม่นี้ จะมีความยืดหยุ่น และมีความชัดเจนมากขึ้นเพื่อจะได้ไม่ต้องมีการตีความสามารถที่จะปฏิบัติได้ทันทีโดยเฉพาะบทบาทหน้าที่การรับผิดชอบของกรรมการ ผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน และให้บริษัทจดทะเบียนมีการแต่งตั้งเลขานุการบริษัทซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะเน้นในเรื่องโครงสร้างของบริษัทด้านงานเอกสารต่างๆของบริษัทจดทะเบียนมีความถูกต้องมากขึ้นส่วนในเรื่องบทลงโทษนั้นก็มองว่ามีความสมเหตุสมผล
ทั้งนี้ ก.ล.ต.ต้องการให้ตลาดทุนมีการปรับตัวมากขึ้น โดยที่จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับตลาดทุนขึ้นมาเพื่อที่จะดูและในเรื่องการออกประกาศต่างๆ หรือมีการแก้ไขเกณฑ์ตลาดทุนให้มีการพัฒนามากขึ้น โดยจะมีผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่มีส่วนได้เสียเข้ามาเป็นคณะกรรมการ 1 หรือ 2 คน ในคณะกรรมการชุดนี้ โดยคาดว่า คณะกรรมการกำกับตลาดทุนนี้จะจัดตั้งขึ้นได้หลังจากที่พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฉบับใหม่มีการประกาศใช้
สำหรับจากนี้ไปทางสมาคม บจ.จะร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ก.ล.ต.จัดสัมมนาชี้แจง และเตรียมความพร้อมของบริษัทจดทะเบียนสำหรับกฎหมายใหม่การปรับปรุงกฎเกณฑ์เกี่ยวกับความรับผิดชอบของกรรมการผู้บริการ และเลขานุการ บทบาทหน้าที่ของกรรมการตรวจสอบและผู้สอบบัญชีของบริษัท และสิทธิของผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน ตาม พ.ร.บ.ฉบับแก้ไขใหม่นี้ เพื่อให้ บจ.ทั้งหมดกว่า 500 บริษัทได้ทราบและมีความเข้าใจเพื่อที่จะมีการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
นายชนินท์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางสมาคม บจ.ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์และสมาคมต่างๆ จัดทำข้อเสนอให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ เพื่อให้สนับสนุนและพัฒนาตลาดทุนไทยเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลอีกนโยบายหนึ่ง เพราะ ตลาดทุนถือว่ามีความสำคัญต่อพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งระดมทุนอีกทางหนึ่งนอกจากการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ และมีตุ้นที่ต่ำ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทุน ออกตราสารหนี้ ฯลฯ