"จเรรัฐ" คุยอีก 3 ปี "ดราก้อน วัน" รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าจะมีสัดส่วนกว่า 80% เตรียมสรุปรายเชื่อพันธมิตรร่วมลงทุนในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในกัมพูชามูลค่าโครงการกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท พร้อมลุยสร้างนิคมอุตสาหกรรมไพลิน คาดลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท คุยลูกค้ากว่า 20 โรงงานพร้อมย้ายทันที ขณะที่เตรียมดัน A-HOST ระดมทุนในไตรมาส 3/51
นายจเรรัฐ ปิงคลาศัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ดราก้อน วัน จำกัด (มหาชน) หรือ D1 กล่าวถึงแผนการลงทุนของบริษัทย่อยคือ บริษัท ดราก้อน เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งจะลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหิน ในประเทศกัมพูชา มูลค่าโครงการประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาทว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรรวมทั้งจะมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศ รวมถึงพันธมิตรในประเทศไทยซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความชำนาญในธุรกิจพลังงานจำนวน 2 รายซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปรายชื่อพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมลงทุนได้ประมาณเดือนมีนาคมปีนี้ โดยพันธมิตรจะต้องใส่เงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นซึ่งบริษัทคาดว่าจะต้องใช้เงินเพิ่มทุนในรอบแรกประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งตามสัดส่วนการถือหุ้นบริษัทจะถือหุ้นประมาณ 20% ทำให้ต้องลงทุนเพิ่มประมาณ 200 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะกู้เงินจากสถาบันการเงินจากต่างประเทศประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทเพื่อลงทุนในการสร้างโรงงานไฟฟ้ากำลังการผลิต 5,000 เมกะวัตต์ โดยจะเป็นโครงการต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้าง สำหรับเงินลงทุนในเฟสแรกคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาทซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่ประมาณ 600 ไร่
สำหรับการคาดการณ์รายได้หลังสามารถผลิตไฟฟ้าได้คาดว่าบริษัทจะมียอดขายไฟฟ้าประมาณ 7,000 ล้านบาทม โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปลายปี 2551 และคาดว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าเสร็จในปี 2554 ซึ่งในขณะนี้บริษัทได้รับสัญญาสัมปทานจากรัฐบาลลาวอย่างน้อย 25 ปี
นายจเรรัฐ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการลงทุนในบริษัท ดราก้อน ไพลิน จำกัด ซึ่งลงทุนในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เพื่อรองรับกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมการค้าในประเทศกัมพูชา โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนโดยบริษัทคาดว่าจะถือหุ้นในสัดส่วน 20% ทำให้คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนตามสัดส่วนอยู่ที่ 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเริ่มขายพื้นที่ได้ประมาณปลายปี 51 และคาดว่าจะสามารรถเริ่มก่อสร้างได้ประมาณต้นปี 52 โดยเบื้องต้นบริษัทได้มีการพูดคุยกับลูกค้าที่สนใจจะย้ายนิคมไปยังนิคมอุตสาหกรรมไพลินแล้วประมาณ 20 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นเอกชนที่อยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมเบา เช่น ผลิตรองเท้า เป็นต้น ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทจะต้องลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มแรกที่จะเข้าไปใช้บริการในนิคมอุตสาหกรรมไพลินประมาณ 300 ล้านบาท คาดว่าจะต้องใช้เวลาในการก่อสร้างไม่เกิน 1 ปี
“ในอีก 3 ปี รายได้หลักของบริษัทจะมาจากธุรกิจพลังงาน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 80% เป็นเพราะบริษัทหันมาจับธุรกิจพลังงานมากขึ้น เพราะรายได้จากโรงงานไฟฟ้ามีความชัดเจนและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าธุรกิจเทคโนโลยีและไอที”นายจเรรัฐ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตบริษัทจะเน้นมาทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานมากขึ้น เนื่องจากประเมินว่าอุตสาหกรรมพลังงานยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 54 สัดส่วนรายได้ของบริษัทที่มาจากธุรกิจพลังงานจะสูงถึง 80%
นายจเรรัฐ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะนำบริษัทลูก คือบริษัทแอพพลิเคชั่น โฮสดิ้ง เซอร์วิส หรือ A-HOSTเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอไอ (mai) โดยคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณไตรมาส 3/51 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างรองบการเงินปี 50
ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจเทคโนโลยีและไอที ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะซื้อบริษัทเพิ่มอีก 2 แห่งโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วนี้ โดยการซื้อบริษัทดังกล่าวเป็นการชะลอจากปีที่ผ่านมาเนื่องจาเศรษฐกิจตลอดปีที่ผ่านมาถือว่าไม่ดีจากสถานการณ์ทางการเมืองแต่เชื่อว่าเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยจะทำให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น
นายจเรรัฐ ปิงคลาศัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ดราก้อน วัน จำกัด (มหาชน) หรือ D1 กล่าวถึงแผนการลงทุนของบริษัทย่อยคือ บริษัท ดราก้อน เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งจะลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหิน ในประเทศกัมพูชา มูลค่าโครงการประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาทว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรรวมทั้งจะมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศ รวมถึงพันธมิตรในประเทศไทยซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความชำนาญในธุรกิจพลังงานจำนวน 2 รายซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปรายชื่อพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมลงทุนได้ประมาณเดือนมีนาคมปีนี้ โดยพันธมิตรจะต้องใส่เงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นซึ่งบริษัทคาดว่าจะต้องใช้เงินเพิ่มทุนในรอบแรกประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งตามสัดส่วนการถือหุ้นบริษัทจะถือหุ้นประมาณ 20% ทำให้ต้องลงทุนเพิ่มประมาณ 200 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะกู้เงินจากสถาบันการเงินจากต่างประเทศประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทเพื่อลงทุนในการสร้างโรงงานไฟฟ้ากำลังการผลิต 5,000 เมกะวัตต์ โดยจะเป็นโครงการต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้าง สำหรับเงินลงทุนในเฟสแรกคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาทซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่ประมาณ 600 ไร่
สำหรับการคาดการณ์รายได้หลังสามารถผลิตไฟฟ้าได้คาดว่าบริษัทจะมียอดขายไฟฟ้าประมาณ 7,000 ล้านบาทม โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปลายปี 2551 และคาดว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าเสร็จในปี 2554 ซึ่งในขณะนี้บริษัทได้รับสัญญาสัมปทานจากรัฐบาลลาวอย่างน้อย 25 ปี
นายจเรรัฐ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการลงทุนในบริษัท ดราก้อน ไพลิน จำกัด ซึ่งลงทุนในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เพื่อรองรับกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมการค้าในประเทศกัมพูชา โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนโดยบริษัทคาดว่าจะถือหุ้นในสัดส่วน 20% ทำให้คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนตามสัดส่วนอยู่ที่ 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเริ่มขายพื้นที่ได้ประมาณปลายปี 51 และคาดว่าจะสามารรถเริ่มก่อสร้างได้ประมาณต้นปี 52 โดยเบื้องต้นบริษัทได้มีการพูดคุยกับลูกค้าที่สนใจจะย้ายนิคมไปยังนิคมอุตสาหกรรมไพลินแล้วประมาณ 20 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นเอกชนที่อยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมเบา เช่น ผลิตรองเท้า เป็นต้น ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทจะต้องลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มแรกที่จะเข้าไปใช้บริการในนิคมอุตสาหกรรมไพลินประมาณ 300 ล้านบาท คาดว่าจะต้องใช้เวลาในการก่อสร้างไม่เกิน 1 ปี
“ในอีก 3 ปี รายได้หลักของบริษัทจะมาจากธุรกิจพลังงาน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 80% เป็นเพราะบริษัทหันมาจับธุรกิจพลังงานมากขึ้น เพราะรายได้จากโรงงานไฟฟ้ามีความชัดเจนและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าธุรกิจเทคโนโลยีและไอที”นายจเรรัฐ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตบริษัทจะเน้นมาทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานมากขึ้น เนื่องจากประเมินว่าอุตสาหกรรมพลังงานยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 54 สัดส่วนรายได้ของบริษัทที่มาจากธุรกิจพลังงานจะสูงถึง 80%
นายจเรรัฐ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะนำบริษัทลูก คือบริษัทแอพพลิเคชั่น โฮสดิ้ง เซอร์วิส หรือ A-HOSTเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอไอ (mai) โดยคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณไตรมาส 3/51 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างรองบการเงินปี 50
ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจเทคโนโลยีและไอที ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะซื้อบริษัทเพิ่มอีก 2 แห่งโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วนี้ โดยการซื้อบริษัทดังกล่าวเป็นการชะลอจากปีที่ผ่านมาเนื่องจาเศรษฐกิจตลอดปีที่ผ่านมาถือว่าไม่ดีจากสถานการณ์ทางการเมืองแต่เชื่อว่าเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยจะทำให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น