บล .กสิกรไทย ทุ่มงบ 100 ล้านบาท รุก 3 ธุรกิจใหม่ " ฟิวเจอร์-ชอร์ตเซล-เอสบีแอล" พร้อมเพิ่มวงเงินปล่อยมาร์จิ้นเป็น 800 ล้านบาท จาก 400 ล้านบาท "ณัฐรินทร์" หวังมาร์เกตแชร์ปีนี้ 2%จากปี 50 ที่มี 1.7 % ด้วยการเพิ่มฐานลูกค้า รับมาร์เกตติ้งเพิ่ม คาดรายได้เพิ่มเป็น 470 ล้านบาทจากปี50 ที่350 ล้านบาท
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนงานปี 2551 ว่า บริษัทจะเน้นการทำงานร่วมกับเครือธนาคารกสิกรไทย เพราะธนาคารจะแนะนำลูกค้าให้มาเปิดบัญชีกับบริษัทมากขึ้น ปัจจุบันมีลูกค้าธนาคารที่มีศักยภาพจะเข้ามาลงทุนในตลาดทุนกว่า 110,000 ราย ซึ่งบริษัทจะรุกธุรกิจใหม่ คือ อนุพันธ์(TFEX) การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) การทำชอร์ตเซล ซึ่งจะใช้งบลงทุนปีนี้รวม 100 ล้านบาท
นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่าปีนี้บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)ปีนี้ 2% ติดอันดับ1ใน20 เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มี 1.7% อันดับที่25 คาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (หุ้นที่ลูกค้านำมาฝากกับบริษัท) จะเพิ่มเป็น 16,000 ล้านบาทจากปี 2550 ที่มี 8,100 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทจะเเพิ่มจำนวนนักลงทุนบุคคลอีก 3,500 บัญชี ซึ่งธนาคารกสิกรไทยจะเป็นผู้แนะนำลูกค้าให้ ทำให้บัญชีรวมปีนี้เพิ่มเป็น 9,500 บัญชี รวมถึงจะเพิ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอีก 3 บัญชีจากขณะนี้ที่มี18 บัญชี
โดยส่งผลให้สัดส่วนลูกค้าปีนี้เป็นนักลงทุนสถาบันเพิ่มเป็น 40%จากปีก่อน 30% และนักลงทุนบุคคล 60% จากปี2550ที่มี 70% พร้อมรับเจ้าหน้าที่การตลาด(มาร์เกตติ้ง)เพิ่มอีก 80 บริษัท จากปัจจุบันที่มี 74 คน โดยบริษัทตั้งเป้าว่าในอีก 3 ปี มาร์เกตติ้ง 1 คนจะมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 9 ล้านบาท ต่อวันต่อคน จากเดิมที่ 5.22ล้านบาทต่อคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมที่เฉลี่ย 3.6 ล้านบาทต่อคนต่อวัน
ทั้งนี้ บริษัทจะเพิ่มวงเงินปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน)เป็น 800 ล้านบาท จากเดิมที่มี 400 ล้านบาท ซึ่งภาวะตลาดไม่ดีนั้นก็อาจจะมีผลต่อการปล่อนมาร์จิ้นโลนบ้างแต่บริษัทจะเน้นเพิ่มจำนวนลูกค้า และบริษัทคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดในอุตสาหกรรมที่ 5.25% จากอุตสาหกรรมเฉลี่ยที่ 6% โดยที่ผ่านมาพบว่าบริษัทไม่มีปัญหาหนี้สูญเลยเพราะก่อนที่จะปล่อยมาร์จิ้นนั้น จะต้องจัดอันดับเครดิตหุ้นก่อน
อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรต่างประเทศเข้ามาร่วมทำธุรกิจ 2 ราย แต่จะไม่ได้เข้ามาร่วมถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้ และคาดว่าจะได้พันธมิตรต่างประเทศเข้ามาร่วมในการทำธุรกิจภายใน3ปีจากนี้แน่นอน เป็นการเพิ่มจำนวนลูกค้าต่างประเทศให้กับบริษัท
นางสาวณัฐรินทร์ กล่าวถึงงานด้านที่ปรึกษาทางการเงิน ว่า ขณะนี้บริษัทมีงานด้านวาณิชธนกิจจำนวน 8 งาน แบ่งเป็น ที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ 4 งาน มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทแรกที่จะเข้าจดทะเบียนคือ บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) ในครึ่งปีแรก และงานที่ปรึกษาทางการเงิน โดยบริษัทคาดรายได้ปีนี้ 470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 350 ล้านบาท
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนงานปี 2551 ว่า บริษัทจะเน้นการทำงานร่วมกับเครือธนาคารกสิกรไทย เพราะธนาคารจะแนะนำลูกค้าให้มาเปิดบัญชีกับบริษัทมากขึ้น ปัจจุบันมีลูกค้าธนาคารที่มีศักยภาพจะเข้ามาลงทุนในตลาดทุนกว่า 110,000 ราย ซึ่งบริษัทจะรุกธุรกิจใหม่ คือ อนุพันธ์(TFEX) การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) การทำชอร์ตเซล ซึ่งจะใช้งบลงทุนปีนี้รวม 100 ล้านบาท
นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่าปีนี้บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)ปีนี้ 2% ติดอันดับ1ใน20 เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มี 1.7% อันดับที่25 คาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (หุ้นที่ลูกค้านำมาฝากกับบริษัท) จะเพิ่มเป็น 16,000 ล้านบาทจากปี 2550 ที่มี 8,100 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทจะเเพิ่มจำนวนนักลงทุนบุคคลอีก 3,500 บัญชี ซึ่งธนาคารกสิกรไทยจะเป็นผู้แนะนำลูกค้าให้ ทำให้บัญชีรวมปีนี้เพิ่มเป็น 9,500 บัญชี รวมถึงจะเพิ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอีก 3 บัญชีจากขณะนี้ที่มี18 บัญชี
โดยส่งผลให้สัดส่วนลูกค้าปีนี้เป็นนักลงทุนสถาบันเพิ่มเป็น 40%จากปีก่อน 30% และนักลงทุนบุคคล 60% จากปี2550ที่มี 70% พร้อมรับเจ้าหน้าที่การตลาด(มาร์เกตติ้ง)เพิ่มอีก 80 บริษัท จากปัจจุบันที่มี 74 คน โดยบริษัทตั้งเป้าว่าในอีก 3 ปี มาร์เกตติ้ง 1 คนจะมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 9 ล้านบาท ต่อวันต่อคน จากเดิมที่ 5.22ล้านบาทต่อคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมที่เฉลี่ย 3.6 ล้านบาทต่อคนต่อวัน
ทั้งนี้ บริษัทจะเพิ่มวงเงินปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน)เป็น 800 ล้านบาท จากเดิมที่มี 400 ล้านบาท ซึ่งภาวะตลาดไม่ดีนั้นก็อาจจะมีผลต่อการปล่อนมาร์จิ้นโลนบ้างแต่บริษัทจะเน้นเพิ่มจำนวนลูกค้า และบริษัทคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดในอุตสาหกรรมที่ 5.25% จากอุตสาหกรรมเฉลี่ยที่ 6% โดยที่ผ่านมาพบว่าบริษัทไม่มีปัญหาหนี้สูญเลยเพราะก่อนที่จะปล่อยมาร์จิ้นนั้น จะต้องจัดอันดับเครดิตหุ้นก่อน
อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรต่างประเทศเข้ามาร่วมทำธุรกิจ 2 ราย แต่จะไม่ได้เข้ามาร่วมถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้ และคาดว่าจะได้พันธมิตรต่างประเทศเข้ามาร่วมในการทำธุรกิจภายใน3ปีจากนี้แน่นอน เป็นการเพิ่มจำนวนลูกค้าต่างประเทศให้กับบริษัท
นางสาวณัฐรินทร์ กล่าวถึงงานด้านที่ปรึกษาทางการเงิน ว่า ขณะนี้บริษัทมีงานด้านวาณิชธนกิจจำนวน 8 งาน แบ่งเป็น ที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ 4 งาน มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทแรกที่จะเข้าจดทะเบียนคือ บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) ในครึ่งปีแรก และงานที่ปรึกษาทางการเงิน โดยบริษัทคาดรายได้ปีนี้ 470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 350 ล้านบาท
