ตลาดหุ้นไทยวันนี้ค่อนข้างผันผวนแรง แม้ช่วงเช้าจะมีการจุดพลุข่าวการเมืองเพื่อให้กองทุนเข้าลุยซื้อดันดัชนี และสามารถยืนแดนบวกได้สำเร็จตลอดช่วงเช้า แต่ก็ไม่สามารถต้านแรงขายของต่างชาติได้ โดยช่วงบ่ายภาวะตลาดหุ้นย่านเอเชียร่วงหนักเฉลี่ย 5% เพราะเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้มีการเทขายหุ้นไทยอย่างหนัก ขณะที่เรื่องของ ปตท. ยังอยู่ในวังวนที่ไม่จบง่ายๆ
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(21 ม.ค.) ดัชนีปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 766.53 จุด ปรับตัวลดลง -23.14 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -2.93% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 27,828.91 ล้านบาท โดยบรรยากาศในการซื้อขายตลอดทั้งวันนี้ ดัชนีขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 802.77 จุด และปรับลงจุดต่ำสุดที่ 766.53 จุด ซึ่งเป็นดัชนีปิดตลาดฯ
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย กลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ยังค่อนข้างจะผันผวน เพราะมองว่ามาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐไม่เพียงพอต่อความที่จะทำให้เศรษฐกิจชะลอความถดถอยไปได้ จะเห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกแทบไม่ได้ตอบรับกับมาตรการตรงนั้นเลยจึงฉุดให้ตลาดบ้านเราในช่วงบ่ายจากบวก 7 จุด ในช่วงเช้าเปิดมาก็ปรับตัวลดลงติดลบทันที
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าปัญหาเรื่องของซับไพรม์ ปัญหาการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ เป็นประเด็นใหญ่เพราะทุกคนยังไม่เชื่อว่ามาตรการลดภาษีจะช่วยสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนได้ เป็นจุดที่ทำให้ประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงทำให้หลายคนคาดการณ์กันว่า คงต้องจับตาดูการประชุมในส่วนของยูโรโซนโดยเฉพาะธนาคารยุโรปอาจจะต้องจำเป็นปรับลดดอกเบี้ยลงเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแถบยุโรปด้วย
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ปัญหาซับไพรม์ส่งผลเสียหายทั่วโลกกว่า 9 แสนล้านบาท และคาดว่าปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงยืดเยื้อออกไปอีก ซึ่งไทยอาจได้รับผลกระทบบ้าง เพราะปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐเพียง 15% ที่เหลือกระจายไปในประเทศต่างๆ และไทยยังมีโอกาสขยายการส่งออกไปยังจีนและอินเดียที่ยังมีอัตราการเติบโตของจีดีพีในระดับสูง
"ไทยไม่มีความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยตามสหรัฐ เพราะภาวะเงินเฟ้อของเราไม่สูงมากปัจจุบันแค่ 3.2% ถือว่าไม่สูง ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยเองก็ปรับลดลงในช่วงต้นปีแต่ไตรมาส 2/51 อาจกลับมาเป็นช่วงขาขึ้นอีกครั้ง ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ขอให้มีความรู้และความสนใจในตลาดทุนนอกจากมีความสามารถด้านตลาดเงิน"
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 68 หลักทรัพย์ ลดลง 259 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 109 หลักทรัพย์ สำหรับสัดส่วนการลงทุน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,128.54 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 387.05 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,539.65 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับ ได้แก่
PTT ปิดที่ 296.00 บาท ลดลง 24.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 4,915.91 ล้านบาท
PTTEP ปิดที่ 144.00 บาท ลดลง 8.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,165,26 ล้านบาท
SCB ปิดที่ 79.50 บาท ลดลง 2.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,133,75 ล้านบาท
BANPU ปิดที่ 386.00 บาท ลดลง 4.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,770,94 ล้านบาท
PTTAR ปิดที่ 38.25 บาท ลดลง 38.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,533,83 ล้านบาท
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้(21 ม.ค.) ดัชนีปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 766.53 จุด ปรับตัวลดลง -23.14 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -2.93% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 27,828.91 ล้านบาท โดยบรรยากาศในการซื้อขายตลอดทั้งวันนี้ ดัชนีขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 802.77 จุด และปรับลงจุดต่ำสุดที่ 766.53 จุด ซึ่งเป็นดัชนีปิดตลาดฯ
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย กลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ยังค่อนข้างจะผันผวน เพราะมองว่ามาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐไม่เพียงพอต่อความที่จะทำให้เศรษฐกิจชะลอความถดถอยไปได้ จะเห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกแทบไม่ได้ตอบรับกับมาตรการตรงนั้นเลยจึงฉุดให้ตลาดบ้านเราในช่วงบ่ายจากบวก 7 จุด ในช่วงเช้าเปิดมาก็ปรับตัวลดลงติดลบทันที
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าปัญหาเรื่องของซับไพรม์ ปัญหาการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ เป็นประเด็นใหญ่เพราะทุกคนยังไม่เชื่อว่ามาตรการลดภาษีจะช่วยสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนได้ เป็นจุดที่ทำให้ประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงทำให้หลายคนคาดการณ์กันว่า คงต้องจับตาดูการประชุมในส่วนของยูโรโซนโดยเฉพาะธนาคารยุโรปอาจจะต้องจำเป็นปรับลดดอกเบี้ยลงเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแถบยุโรปด้วย
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ปัญหาซับไพรม์ส่งผลเสียหายทั่วโลกกว่า 9 แสนล้านบาท และคาดว่าปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงยืดเยื้อออกไปอีก ซึ่งไทยอาจได้รับผลกระทบบ้าง เพราะปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐเพียง 15% ที่เหลือกระจายไปในประเทศต่างๆ และไทยยังมีโอกาสขยายการส่งออกไปยังจีนและอินเดียที่ยังมีอัตราการเติบโตของจีดีพีในระดับสูง
"ไทยไม่มีความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยตามสหรัฐ เพราะภาวะเงินเฟ้อของเราไม่สูงมากปัจจุบันแค่ 3.2% ถือว่าไม่สูง ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยเองก็ปรับลดลงในช่วงต้นปีแต่ไตรมาส 2/51 อาจกลับมาเป็นช่วงขาขึ้นอีกครั้ง ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ขอให้มีความรู้และความสนใจในตลาดทุนนอกจากมีความสามารถด้านตลาดเงิน"
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 68 หลักทรัพย์ ลดลง 259 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 109 หลักทรัพย์ สำหรับสัดส่วนการลงทุน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,128.54 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 387.05 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,539.65 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 ลำดับ ได้แก่
PTT ปิดที่ 296.00 บาท ลดลง 24.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 4,915.91 ล้านบาท
PTTEP ปิดที่ 144.00 บาท ลดลง 8.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,165,26 ล้านบาท
SCB ปิดที่ 79.50 บาท ลดลง 2.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,133,75 ล้านบาท
BANPU ปิดที่ 386.00 บาท ลดลง 4.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,770,94 ล้านบาท
PTTAR ปิดที่ 38.25 บาท ลดลง 38.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,533,83 ล้านบาท