ออฟฟิศเมท เตรียมยื่นไฟลิ่งขายหุ้นไอพีโอ ไตรมาส3/51 คาดจดทะเบียนได้ไตรมาสสุดท้าย หวังระดมทุนเปิดสาขาต่างประเทศแถบเอเชีย-ในประเทศ ผู้บริหารเผย อยู่ระหว่างการแตกพาร์จาก100 บาท เป็น 1 บาท พร้อมเพิ่มทุนเป็น 100 ล้านบาท แย้มอาจขายหุ้นให้พันธมิตรก่อนกระจายหุ้นไอพีโอ คาดรายได้ปีนี้ 1.1 พันล้านบาท กำไร 50 ล้านบาท
นายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ว่า บริษัทจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)ในการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ในไตรมาส3/51 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนได้ในไตรมาส4/51 ซึ่งรายละเอียดในการขายหุ้นนั้นอยู่ระหว่างการหารือกับ บล.ธนชาต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 13 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 100 บาท ซึ่งบริษัทจะมีการแตกพาร์ เป็นหุ้นละ 1 บาท โดยจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 100 ล้านบาท และอาจจะมีการเสนอขายหุ้นให้กับพันธมิตรก่อนที่จะมีการยื่นไฟลิ่ง เพราะ ขณะนี้มีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ 3 ราย คือประเทศ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เกาหลี และนักลงทุนในประเทศ ให้ความสนใจที่จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัท ซึ่ง อยู่ระหว่างพิจารณา
" บริษัทจะแตกพาร์เป็น 1 บาท และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 100 ล้านบาท ซึ่งจะเสนอขายหุ้นเท่าไรนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะต้องหารือกับ บล.ธนชาต ก่อน แต่ตนนั้นต้องการที่จะถือหุ้นในสัดส่วน 70-75% จากปัจจุบันที่ถือหุ้น 100% ซึ่งคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาด mai ประมาณ พ.ย. หรือ ธ.ค. นี้ เพราะบริษัทยื่นความจำนงในการเข้าจดทะเบียนกับ ตลท.ปลายปีที่ผ่านมา เพื่อจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี " นายวรวุฒิ กล่าว
สำหรับ เงินที่ได้จากการระดมทุนนั้นบริษัทจะนำไปเปิดสาขาในต่างประเทศในแถบเอเชีย ขยายตลาดในต่างจังหวัด และปรับปรุงระบบการขนส่ง หากบริษัทมียอดขาย 2,000 ล้านบาทขึ้นไป ก็จำเป็นที่จะต้องใช้หุ่นยนต์เข้ามาในการจัดสินค้า และนำไปใช้หนี้บางส่วนจากปัจจุบันที่มีหนี้ 220 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นหนี้สินต่อทุน(D/E) 4 เท่า ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายวรวุฒิ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 2550 ที่มีรายได้ 850 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 40-50 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท เนื่องจากย้ายคลังสินค้าใหม่และมีระบบการขนสั่งที่ดีขึ้น ซึ่งสามารถรองรับคำสั่งซื้อสินค้าได้ถึง 4 พันล้านบาท และบริษัทจะมีการขยายลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 80,000 บริษัท จากปัจจุบันที่มีลูกค้า60,000 –70,000 ด้วยการทุ่มงบการตลาดปีนี้ 30 ล้านบาท
ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัท เพราะลูกค้าหันมาสั่งซื้อสินค้าเครื่องเขียนอุปกรณ์สำนักงานฯลฯกับบริษัทมากขึ้น เพราะสะดวกและประหยัด และบริษัทจะประกอบธุรกิจใหม่ คือด้านสิ่งพิม เพื่อบริการให้แก่ลูกค้าที่สั่งซื่ออุปกรณ์สำนักงานกับริษัท ซึ่งคาดว่าธุรกิจใหม่นี้จะสร้างรายได้สัดส่วน 10% ของรายได้รวมของบริษัทในปีนี้
อนึ่ง บริษัทออฟฟิศเมท ประกอบธุรกิจเป็นผู้จำหน่ายเครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงานและคอมพิวเตอร์และออฟฟิศเฟอร์นิเจอร์ผ่านระบบแค็ตตาล็อกและอินเตอร์เน็ต
นายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ว่า บริษัทจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)ในการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ในไตรมาส3/51 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนได้ในไตรมาส4/51 ซึ่งรายละเอียดในการขายหุ้นนั้นอยู่ระหว่างการหารือกับ บล.ธนชาต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 13 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 100 บาท ซึ่งบริษัทจะมีการแตกพาร์ เป็นหุ้นละ 1 บาท โดยจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 100 ล้านบาท และอาจจะมีการเสนอขายหุ้นให้กับพันธมิตรก่อนที่จะมีการยื่นไฟลิ่ง เพราะ ขณะนี้มีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ 3 ราย คือประเทศ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เกาหลี และนักลงทุนในประเทศ ให้ความสนใจที่จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัท ซึ่ง อยู่ระหว่างพิจารณา
" บริษัทจะแตกพาร์เป็น 1 บาท และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 100 ล้านบาท ซึ่งจะเสนอขายหุ้นเท่าไรนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะต้องหารือกับ บล.ธนชาต ก่อน แต่ตนนั้นต้องการที่จะถือหุ้นในสัดส่วน 70-75% จากปัจจุบันที่ถือหุ้น 100% ซึ่งคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาด mai ประมาณ พ.ย. หรือ ธ.ค. นี้ เพราะบริษัทยื่นความจำนงในการเข้าจดทะเบียนกับ ตลท.ปลายปีที่ผ่านมา เพื่อจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี " นายวรวุฒิ กล่าว
สำหรับ เงินที่ได้จากการระดมทุนนั้นบริษัทจะนำไปเปิดสาขาในต่างประเทศในแถบเอเชีย ขยายตลาดในต่างจังหวัด และปรับปรุงระบบการขนส่ง หากบริษัทมียอดขาย 2,000 ล้านบาทขึ้นไป ก็จำเป็นที่จะต้องใช้หุ่นยนต์เข้ามาในการจัดสินค้า และนำไปใช้หนี้บางส่วนจากปัจจุบันที่มีหนี้ 220 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นหนี้สินต่อทุน(D/E) 4 เท่า ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายวรวุฒิ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 2550 ที่มีรายได้ 850 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 40-50 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท เนื่องจากย้ายคลังสินค้าใหม่และมีระบบการขนสั่งที่ดีขึ้น ซึ่งสามารถรองรับคำสั่งซื้อสินค้าได้ถึง 4 พันล้านบาท และบริษัทจะมีการขยายลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 80,000 บริษัท จากปัจจุบันที่มีลูกค้า60,000 –70,000 ด้วยการทุ่มงบการตลาดปีนี้ 30 ล้านบาท
ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัท เพราะลูกค้าหันมาสั่งซื้อสินค้าเครื่องเขียนอุปกรณ์สำนักงานฯลฯกับบริษัทมากขึ้น เพราะสะดวกและประหยัด และบริษัทจะประกอบธุรกิจใหม่ คือด้านสิ่งพิม เพื่อบริการให้แก่ลูกค้าที่สั่งซื่ออุปกรณ์สำนักงานกับริษัท ซึ่งคาดว่าธุรกิจใหม่นี้จะสร้างรายได้สัดส่วน 10% ของรายได้รวมของบริษัทในปีนี้
อนึ่ง บริษัทออฟฟิศเมท ประกอบธุรกิจเป็นผู้จำหน่ายเครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงานและคอมพิวเตอร์และออฟฟิศเฟอร์นิเจอร์ผ่านระบบแค็ตตาล็อกและอินเตอร์เน็ต