บล.ไอร่า ลั่นปี 51 รุกธุรกิจใหม่ "ฟิวเจอร์ส ออปชั่น ตราสารหนี้ เอสบีแอล บลจ." ทุ่มงบ 100 ล้านบาท เตรียมความพร้อมระบบ "ผู้บริหาร" เผยเล็งเทกโอเวอร์บลจ. ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจา หวังดำเนินธุรกิจได้ไตรมาส 1/51 เตรียมเซ็นสัญญาพันธมิตรธุรกิจกับสถาบันต่างชาติ ดันมาร์เกตแชร์เพิ่มเป็น 2% เหตุลูกค้าสถาบัน-ต่างประเทศ เพิ่มขึ้น แจงข้อพิพาทกับบล.เคจีไอยุติด้วยดี
นายทรงพล บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไอร่า จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2551 นี้ บริษัทมีแผนที่จะทำธุรกรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะทำให้บริษัทมีการทำธุรกิจที่หลายหลายมากขึ้น ประกอบด้วย ธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซึ่งบริษัทจะไม่ได้มีการจัดตั้งขึ้นเอง แต่จะเป็นการเข้าไปซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) บลจ.ที่มีดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว เพราะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็วกว่าการที่จะจัดตั้งบลจ.ขึ้นใหม่
ทั้งนี้ บริษัทหวังว่าจะดำเนินธุรกิจบลจ.ได้ภายในไตรมาส 1/51 นี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา โดยยอมรับว่าการซื้อบลจ.ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่บริษัทก็จะใช้ความสัมพันธ์ของผู้ถือหุ้นและผู้บริหารของบริษัทในการเข้าเจรจา ส่วนงบในการซื้อบลจ.นั้นไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ในขณะนี้
สำหรับในส่วนธุรกิจด้านอนุพันธ์ ทั้งในส่วนของฟิวเจอร์สและออปชั่น ธุรกิจการซื้อขายตราสารหนี้ ธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) นั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการติดตั้งระบบ และเตรียมที่จะยื่นคำขออนุญาตในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว โดยบริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนจำนวน 100 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนนั้น บริษัทจะมีเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน หรือการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) แก่ผู้ถือหุ้นเดิม มูลค่า 200 ล้านบาท
"แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทต้องการที่จะประกอบธุรกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้น จากปัจจุบันที่บริษัททำธุรกิจด้านการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะทำธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้น คือ บลจ. ฟิวเจอร์ส ออปชั่น ซื้อขายตราสารหนี้ เอสบีแอล" นายทรงพล กล่าว
นายทรงพล กล่าวถึงความคืบหน้าการมีพันธมิตรต่างประเทศว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดเตรียมเอกสารที่จะเซ็นสัญญากับสถาบันต่างประเทศซึ่งอยู่ในแถบยุโรปที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทในเร็วๆนี้ ซึ่งพันธมิตรดังกล่าวจะมีการแนะนำลูกค้าในต่างประเทศให้เข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบล.ไอร่า หรือให้บริษัทบริหารเงินลงทุนให้ รวมถึงการใช้ความสัมพันธ์ของผู้ถือหุ้นของบริษัทในการเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่สถาบันต่างประเทศสนใจ
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ปีนี้จะอยู่ที่ 2% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2550 ที่มี 0.97% เนื่องจาก บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศเข้ามาเปิดบัญชี เพิ่มเป็น 20% และลูกค้าสถาบันเพิ่มเป็น40% จากปีที่ผ่านมาที่บริษัทยังไม่มีลูกค้าดังกล่าว ขณะที่สัดส่วนลูกค้ารายย่อยอยู่ที่ 40% ซึ่งในปี2550 บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าเป็นนักลงทุนรายย่อย 60% และ40 เป็นนักลงทุนรายใหญ่และสถาบัน
สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) นั้น บริษัทคาดว่าจะเข้าซื้อขายได้ในช่วงไตรมาส3/51 ปีนี้ หากภาวะตลาดเอื้ออำนวย จากที่บริษัทได้มีการยื่นความจำนงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯและจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีไว้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
นายทรงพล กล่าวถึงกรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับการดึงตัวเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) ระหว่างบริษัท กับ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) ว่า ข้อพิพาทดังกล่าวยุติแล้ว ซึ่งทางบริษัทและบล.เคจีไอ ได้มีการเจรจากันและเข้าใจสนเรื่องที่ในช่วงแรกเกิดความเข้าใจผิดกัน ทำให้บริษัทและบล.เคจีไอเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีต่อกัน โดยที่บริษัทไม่ต้องมีการจ่ายเงินแต่อย่างไร
นายทรงพล บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไอร่า จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2551 นี้ บริษัทมีแผนที่จะทำธุรกรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะทำให้บริษัทมีการทำธุรกิจที่หลายหลายมากขึ้น ประกอบด้วย ธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซึ่งบริษัทจะไม่ได้มีการจัดตั้งขึ้นเอง แต่จะเป็นการเข้าไปซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) บลจ.ที่มีดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว เพราะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็วกว่าการที่จะจัดตั้งบลจ.ขึ้นใหม่
ทั้งนี้ บริษัทหวังว่าจะดำเนินธุรกิจบลจ.ได้ภายในไตรมาส 1/51 นี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา โดยยอมรับว่าการซื้อบลจ.ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่บริษัทก็จะใช้ความสัมพันธ์ของผู้ถือหุ้นและผู้บริหารของบริษัทในการเข้าเจรจา ส่วนงบในการซื้อบลจ.นั้นไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ในขณะนี้
สำหรับในส่วนธุรกิจด้านอนุพันธ์ ทั้งในส่วนของฟิวเจอร์สและออปชั่น ธุรกิจการซื้อขายตราสารหนี้ ธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) นั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการติดตั้งระบบ และเตรียมที่จะยื่นคำขออนุญาตในการประกอบธุรกรรมดังกล่าว โดยบริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนจำนวน 100 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนนั้น บริษัทจะมีเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน หรือการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) แก่ผู้ถือหุ้นเดิม มูลค่า 200 ล้านบาท
"แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทต้องการที่จะประกอบธุรกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้น จากปัจจุบันที่บริษัททำธุรกิจด้านการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะทำธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้น คือ บลจ. ฟิวเจอร์ส ออปชั่น ซื้อขายตราสารหนี้ เอสบีแอล" นายทรงพล กล่าว
นายทรงพล กล่าวถึงความคืบหน้าการมีพันธมิตรต่างประเทศว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดเตรียมเอกสารที่จะเซ็นสัญญากับสถาบันต่างประเทศซึ่งอยู่ในแถบยุโรปที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทในเร็วๆนี้ ซึ่งพันธมิตรดังกล่าวจะมีการแนะนำลูกค้าในต่างประเทศให้เข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบล.ไอร่า หรือให้บริษัทบริหารเงินลงทุนให้ รวมถึงการใช้ความสัมพันธ์ของผู้ถือหุ้นของบริษัทในการเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่สถาบันต่างประเทศสนใจ
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ปีนี้จะอยู่ที่ 2% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2550 ที่มี 0.97% เนื่องจาก บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศเข้ามาเปิดบัญชี เพิ่มเป็น 20% และลูกค้าสถาบันเพิ่มเป็น40% จากปีที่ผ่านมาที่บริษัทยังไม่มีลูกค้าดังกล่าว ขณะที่สัดส่วนลูกค้ารายย่อยอยู่ที่ 40% ซึ่งในปี2550 บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าเป็นนักลงทุนรายย่อย 60% และ40 เป็นนักลงทุนรายใหญ่และสถาบัน
สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) นั้น บริษัทคาดว่าจะเข้าซื้อขายได้ในช่วงไตรมาส3/51 ปีนี้ หากภาวะตลาดเอื้ออำนวย จากที่บริษัทได้มีการยื่นความจำนงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯและจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีไว้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
นายทรงพล กล่าวถึงกรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับการดึงตัวเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) ระหว่างบริษัท กับ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) ว่า ข้อพิพาทดังกล่าวยุติแล้ว ซึ่งทางบริษัทและบล.เคจีไอ ได้มีการเจรจากันและเข้าใจสนเรื่องที่ในช่วงแรกเกิดความเข้าใจผิดกัน ทำให้บริษัทและบล.เคจีไอเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีต่อกัน โดยที่บริษัทไม่ต้องมีการจ่ายเงินแต่อย่างไร