xs
xsm
sm
md
lg

รัฐบาลไทยปล่อยกู้กัมพูชา วงเงิน 1.4 พันล้านสร้างถนน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รัฐบาลไทยใจป้ำ เตรียมปล่อยกู้กัมพูชา 1.4 พันล้าน สร้างถนนสายประวัติศาสตร์ 1,000 ปี เปิดการท่องเที่ยวช่องจอม-กลอรัณห์ บนถนนวัฒนธรรมพิมาย-นครวัด ด้านสศช. เล็ง พัฒนาพื้นที่ 3.6 ล้านไร่ บริเวณถนนฝั่งกัมพูชา ปลูกพืชเศรษฐกิจ เน้นพลังงานทดแทนเป็นหลัก ขณะที่เอกชน เสนอ ตัดถนนสายเชียงของไปเมืองจีน

วานนี้ (10 ม.ค.) พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านครั้งที่1/2551 ว่า นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)ได้เสนอแผนความร่วมมือระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา เกี่ยวกับการสร้างถนน สะพาน และกิจกรรมต่อเนื่องระหว่างกัน เช่น การซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดและการส่งสินค้า โดยรัฐบาลไทยได้พิจารณาให้ประเทศกัมพูชากู้เงินเพื่อสร้างถนนสาย 68 ระหว่างช่องจอม สำโรง ถึงกลอรัณห์ ประเทศกัมพูชาเป็นระยะทาง 100 กิโลเมตร โดยใช้งบประมาณ กว่า1,400 ล้านบาท และพิจารณาให้ความช่วยเหลือพัฒนาเส้นทางใน สปป.ลาวระหว่าง สามแยก สี-ไค น้ำสัง เมืองสังทอง แขวงเวียจันทน์ ซึ่งมีมติขอเสนอไว้พิจารณา พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมสำรวจเส้นทางและความเป็นไปได้พร้อมวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ

นายอาคม เติมวิทยาไพศิษฐ์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ที่ประชุม เห็นชอบในหลักการโครงการให้ความช่วยเหลือเงินกู้ผ่อนปรนแก่รัฐบาลกัมพูชา วงเงิน 1,400 ล้านบาท ในการก่อสร้างพัฒนาเส้นทางมาตรฐานระยะทาง 113 กิโลเมตร หมายเลข 68 (ช่องจอม-โอเสม็ด-สำโรง-กลอรันห์) จากช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ถึงเมืองกลอรันห์ของกัมพูชา เนื่องจากเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่สามารถพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่าง เมืองเสียมเรียบ กับภาคอีสานตอนใต้ของประเทศไทย รวมทั้งยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ชายแดนของสองประเทศ

"นายกรัฐมนตรี เห็นว่า ถนนสายนี้จะเชื่อมโยงจาก อ.อรัญประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นถนนประวัติศาสตร์ ที่เชื่อมระหว่างไทยกับกัมพูชา มากว่า 1,000 ปี ซึ่งการเปิดถนนสายนนี้ก็จะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ จากวัฒนธรรมพิมาย ไปยังนครวัด หากจะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็จะสร้างประโยชน์ให้สองประเทศ"

ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นควรให้กระทรวงการคลัง ไปพิจารณางบประมาณเพื่อทำการศึกษาทบทวนผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมและแผนการใช้ประโยชน์สาย 68 ร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา โดยใช้งบประมาณ 20 ล้านบาท จากวงเงินกู้ 1,400 ล้าน โดยพิจารณารายละเอียดเงื่อนไขเงินกู้ และวิธีการให้เงินกู้ และนำเสนอคณะรัฐมตรีขอความเห็นชอบต่อไป นอกจากนี้แม้ภาคเอกชนจะตั้งข้อสังเกตถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการพัฒนาประเทศเพื่อนบ้าน โดยนายกรัฐมนตรีและที่ประชุม เห็นว่า หากจะดำเนินการอะไร ต้องยึดถึงธรรมาภิบาลทั้งเรื่องเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ที่จะต้องใช้ประโยชน์ด้วยความโปร่งใส

นายอาคม กล่าวอีกว่า แม้ที่ประชุมจะไม่ได้ยกเรื่องคอนแทรกฟาร์มิ่ง มาหารือแต่ก็มองไปถึงการพัฒนาพื้นที่กว่า 5.8 หมื่นเฮกเตอร์ (3.6 ล้านไร่) บริเวณพื้นที่ตัดผ่านถนนสาย 68 นี้ โดยเฉพาะมองไปถึงการใช้เป็นพื้นที่ปลูกพืชชนิดต่าง ๆเช่น พืชพลังงานทดแทน อย่างมันสำปะหลัง ข้าวโพด ปาล์ม ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้เห็นว่า ควรจะเข้าไปพัฒนาภาคเอกชนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้เกิดความเป็นธรรมด้วย
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่นี้ รัฐบาลจะไปต้องไปพิจารณาถึงค่าเช่าที่ดินในประเทศกัมพูชา ใน 5.8 หมื่นเฮกเตอร์ บริเวณเส้นทางสาย 68 โดยเน้นไปที่การปลูกพืชพลังงานทดแทนเป็นหลัก นอกจากนี้รัฐบาลยังจะต้องพิจารณาเพิ่มการสร้างถนนเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านด้วยเพื่อเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้กับประเทศ ซึ่งสภาอุตสาหกรรม ได้เสนอให้ก่อสร้าง ถนนในเส้นทาง อาร์ 3 ในเขต อ.เชียงของ จ.เชียงราย ไปยังเมืองบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อเชื่อมต่อไปยังประเทศจีน เป็นต้น

ขณะเดียวกันที่ประชุม ยังเห็นชอบ การให้ความช่วยเหลือพัฒนาเส้นทางหมายเลข 11 ในสาธาณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ระหว่างนครเวียงจันทร์ ถึงสามแยกสีไค-น้ำสัง- เมืองสังทอง แขวงเวียงจันทน์ ระยะทาง 92 กิโลเมตร ค่าก่อสร้างประมาณ 636 ล้านบาท โดยให้สภาพัฒน์ กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมสำรวจ ขณะเดียวกันได้เตรียมการประชุมสุดยอดผู้นำ GMS ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 30-31มีนาคม 2551 ณ กรุงเวียงจันทน์ โดยกำหนดจะมีการลง MOU แนบท้ายความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดน จำนวน 20 ฉบับ โดยคาดว่าจะดำเนินการในรัฐบาลชุดหน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น