นักลงทุนต่างชาติยังกระหน่ำทิ้งหุ้นไทย 2 วันรับปีหนูร่วงแล้วกว่า 25 จุด โบรกเกอร์ชี้ไร้ปัจจัยบวกหนุน ขณะที่สารพัดปัจจัยลบยังไม่มีความชัดเจน เชื่อหากตั้งรัฐบาลเสร็จหุ้นน่าจะฟื้นตัวได้ "เสี่ยแตงโม" เชื่อหุ้นไอพีโอยังมีเสน่ห์แม้ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในช่วงขาลง ระบุสินค้า "ออปชั่น-อนุพันธ์" ยากเกินที่นักลงทุนจะลงทุน ด้าน "วัชระ" ฟันธงดัชนีต่ำสุดในรอบปีไม่หลุด 750 จุด แนะทยอยเก็บหุ้นพลังงาน-รับเหมาก่อสร้าง
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (3 ม.ค.) ดัชนียังคงปรับตัวลดลงต่อจากวันก่อนหน้า หลังจากยังไร้ปัจจัยในเชิงบวกที่จะเข้ามาสนับสนุนการลงทุน ขณะที่ปัญหาทางการเมืองที่ยังไม่มีทีท่าที่ชัดเจนยังเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนยังไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนอย่างเต็มที่ ประกอบกับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ออกมาแย่กว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 832.63 จุด ลดลง 10.34 จุด หรือ 1.23% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 836.43 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 829.06 จุด มูลค่าการซื้อขาย 18,303.12 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,314.24 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 49.32 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,363.56 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดยังคงเป็นหุ้นในกลุ่มปตท.ทั้ง 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 360 บาท ลดลง 8 บาท หรือ 2.17% มูลค่าการซื้อขาย 2,422.56 ล้านบาท, บมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาปิดที่ 159 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือ 1.27% มูลค่าการซื้อขาย 1,957.80 ล้านบาท และบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR ราคาปิดที่ 46.50 บาท ลดลง 0.75 บาท หรือ 1.59% มูลค่าการซื้อขาย 1,463.16 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวลดลงกว่า 200 จุด หลังมีความกังวลว่าตัวเลขดัชนีอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เดือนธันวาคมจะปรับตัวต่ำสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งอาจจะสะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ขณะที่ปัจจัยที่นักลงทุนยังค่อนข้างกังวล คือ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ล่าสุดยังไม่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ซึ่งหากมีการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการเชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นวันนี้ เชื่อว่าดัชนีจะยังคงแกว่งตัวอยู่ในแดนลบเนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น โดยสิ่งที่นักลงทุนยังต้องติดตามคือการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐอีกหลายดัชนีว่าจะเป็นอย่างไร โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 828 จุด และแนวรับถัดมาอยู่ที่ 820 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 845 จุด
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้แนะนำให้นักลงทุนทยอยเก็บหุ้นกลุ่มพลังงานที่ราคาเริ่มปรับตัวลดลงไม่ว่าจะเป็น PTT หรือ PTTEP เป็นต้น ขณะที่เดียวกันต้องระวังการเข้าลงทุนในหุ้นเก็งกำไรเนื่องจากอาจจะมีการขายทำกำไรออกมาหลังจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปค่อนข้างมาก
**ขาใหญ่ชี้ IPO ยังมีเสน่ห์
นายสมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ หรือเสี่ยแตงโม ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า สถานการณ์ในตลาดหุ้นช่วงนี้ยังมีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนใหม่ควรรอให้ตลาดมีเสถียรภาพมากกว่านี้ก่อนจะเข้ามาลงทุน ซึ่งในปัจจุบันส่วนตัวจัดพอร์ตการลงทุนโดยถือเงินสด 50% ของพอร์ตการลงทุนและอีก 50% จะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่ถือว่ามีความน่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ คือหุ้นที่เสนอขายประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เนื่องจากส่วนตัวเชื่อว่ามีโอกาสที่นักลงทุนจะทำกำไรได้มากกว่าการซื้อหุ้นในกระดาน แต่นักลงทุนจะต้องเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีประกอบการลงทุนด้วย
ขณะที่สินค้าประเภทอื่นๆไม่ว่าจะเป็น ฟิวเจอร์ส อนุพันธ์ รวมถึงออปชั่น นักลงทุนจะต้องมีความรู้และความเข้าใจรวมถึงต้องมีความชำนาญในการลงทุนค่อนข้างมาก เนื่องจากมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงแม้ว่าจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนค่อนข้างสูงเช่นกันก็ตาม
**เชื่อดัชนีต่ำสุดไม่หลุด 750 จุด
นายวัชระ แก้วสว่าง ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ปัจจัยลบจากภายนอกประเทศเป็นแรงหนุนที่สำคัญทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแต่เชื่อว่าเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาวจะเลือกเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานยังมีความน่าสนใจเนื่องจากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในระดับสูงต่อไป
ทั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนทั้งรายย่อยและนักลงทุนรายใหญ่รอคอย คือ การจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการซึ่งหากเกิดขึ้นได้จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน โดยหลังการจัดตั้งรัฐบาลเชื่อว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในขาขึ้นได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน แต่อย่างไรก็ตามโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงก็มีความเป็นไปได้โดยมองว่าในปีนี้จุดต่ำสุดของปีดัชนีไม่น่าจะต่ำกว่าระดับ 750 จุด
"นอกเหนือจากกลุ่มพลังงานที่น่าสนใจ หุ้นในกลุ่มรับเหมาฯก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจเนื่องจากนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องมีการลงทุนในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการเมกโปรเจกต์"นายวัชระกล่าว
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (3 ม.ค.) ดัชนียังคงปรับตัวลดลงต่อจากวันก่อนหน้า หลังจากยังไร้ปัจจัยในเชิงบวกที่จะเข้ามาสนับสนุนการลงทุน ขณะที่ปัญหาทางการเมืองที่ยังไม่มีทีท่าที่ชัดเจนยังเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนยังไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนอย่างเต็มที่ ประกอบกับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ออกมาแย่กว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 832.63 จุด ลดลง 10.34 จุด หรือ 1.23% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 836.43 จุดและจุดต่ำสุดอยู่ที่ 829.06 จุด มูลค่าการซื้อขาย 18,303.12 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,314.24 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 49.32 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,363.56 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดยังคงเป็นหุ้นในกลุ่มปตท.ทั้ง 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 360 บาท ลดลง 8 บาท หรือ 2.17% มูลค่าการซื้อขาย 2,422.56 ล้านบาท, บมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาปิดที่ 159 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือ 1.27% มูลค่าการซื้อขาย 1,957.80 ล้านบาท และบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR ราคาปิดที่ 46.50 บาท ลดลง 0.75 บาท หรือ 1.59% มูลค่าการซื้อขาย 1,463.16 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวลดลงกว่า 200 จุด หลังมีความกังวลว่าตัวเลขดัชนีอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เดือนธันวาคมจะปรับตัวต่ำสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งอาจจะสะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ขณะที่ปัจจัยที่นักลงทุนยังค่อนข้างกังวล คือ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ล่าสุดยังไม่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ซึ่งหากมีการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการเชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นวันนี้ เชื่อว่าดัชนีจะยังคงแกว่งตัวอยู่ในแดนลบเนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้น โดยสิ่งที่นักลงทุนยังต้องติดตามคือการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐอีกหลายดัชนีว่าจะเป็นอย่างไร โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 828 จุด และแนวรับถัดมาอยู่ที่ 820 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 845 จุด
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้แนะนำให้นักลงทุนทยอยเก็บหุ้นกลุ่มพลังงานที่ราคาเริ่มปรับตัวลดลงไม่ว่าจะเป็น PTT หรือ PTTEP เป็นต้น ขณะที่เดียวกันต้องระวังการเข้าลงทุนในหุ้นเก็งกำไรเนื่องจากอาจจะมีการขายทำกำไรออกมาหลังจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปค่อนข้างมาก
**ขาใหญ่ชี้ IPO ยังมีเสน่ห์
นายสมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ หรือเสี่ยแตงโม ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า สถานการณ์ในตลาดหุ้นช่วงนี้ยังมีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนใหม่ควรรอให้ตลาดมีเสถียรภาพมากกว่านี้ก่อนจะเข้ามาลงทุน ซึ่งในปัจจุบันส่วนตัวจัดพอร์ตการลงทุนโดยถือเงินสด 50% ของพอร์ตการลงทุนและอีก 50% จะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มที่ถือว่ามีความน่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ คือหุ้นที่เสนอขายประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เนื่องจากส่วนตัวเชื่อว่ามีโอกาสที่นักลงทุนจะทำกำไรได้มากกว่าการซื้อหุ้นในกระดาน แต่นักลงทุนจะต้องเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดีประกอบการลงทุนด้วย
ขณะที่สินค้าประเภทอื่นๆไม่ว่าจะเป็น ฟิวเจอร์ส อนุพันธ์ รวมถึงออปชั่น นักลงทุนจะต้องมีความรู้และความเข้าใจรวมถึงต้องมีความชำนาญในการลงทุนค่อนข้างมาก เนื่องจากมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงแม้ว่าจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนค่อนข้างสูงเช่นกันก็ตาม
**เชื่อดัชนีต่ำสุดไม่หลุด 750 จุด
นายวัชระ แก้วสว่าง ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ปัจจัยลบจากภายนอกประเทศเป็นแรงหนุนที่สำคัญทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแต่เชื่อว่าเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาวจะเลือกเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานยังมีความน่าสนใจเนื่องจากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในระดับสูงต่อไป
ทั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนทั้งรายย่อยและนักลงทุนรายใหญ่รอคอย คือ การจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นทางการซึ่งหากเกิดขึ้นได้จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน โดยหลังการจัดตั้งรัฐบาลเชื่อว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในขาขึ้นได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน แต่อย่างไรก็ตามโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงก็มีความเป็นไปได้โดยมองว่าในปีนี้จุดต่ำสุดของปีดัชนีไม่น่าจะต่ำกว่าระดับ 750 จุด
"นอกเหนือจากกลุ่มพลังงานที่น่าสนใจ หุ้นในกลุ่มรับเหมาฯก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจเนื่องจากนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องมีการลงทุนในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการเมกโปรเจกต์"นายวัชระกล่าว