จากการที่ทีมรักบี้หญิง 7 คนทีมชาติไทย แพ้ ฮ่องกง 5-7 จุด ในรอบชิงเหรียญทองแดง เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่หางโจว ประเทศจีน เป็นเหตุให้ “บิ๊กต้น” พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ นายกสมาคมกีฬารักบี้ฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วยการขอยุติบทบาทการเป็นนายกสมาคมรักบี้ เนื่องจากผลงานในเอเชียนเกมส์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการทำหน้าที่ของตัดสินชาวญี่ปุ่น ที่ลงทำหน้าที่ตัดสินในเกมรอบชิงชนะเลิศที่ไทยพบกับฮ่องกง เกิดความผิดพลาดจนส่งผลให้ทีมสาวไทยแพ้ จึงทำให้ “บิ๊กต้น” ได้ทำการประท้วงในวันแข่งขัน แต่ก็ถูกเพิกเฉยจากฝ่ายจัดการแข่งขัน
ล่าสุดคณะนักกีฬารักบี้ชุดเอเชียนเกมส์ได้เดินทางกลับถึงไทยเป็นที่เรียบร้อย และทาง “บิ๊กต้น” พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ ได้ทำการตั้งโต๊ะแถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆในเอเชียนเกมส์ ที่สโมสรราชพฤกษ์ เมื่อวันที่ 28 ก.ย.2566 พร้อมทั้งเปิดคลิปวีดีโอชี้แจงถึงเหตุการณ์ต่างๆในการตัดสินของกรรมการชาวญี่ปุ่น ที่ผิดพลาดจนนำมาซึ่งผลแพ้ของทีมหญิงไทย ทำให้พลาดเหรียญทองแดงเอเชียนเกมส์
พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ กล่าวว่า การที่ตนลาออกจากการเป็นนายกสมาคมก็เพื่อต้องการประท้วงในสิ่งที่ไม่ยุติธรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับทีมรักบี้หญิงไทย เพราะไม่ใช่เพียงเกมรอบชิงเหรียญทองแดงเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายเกมที่เราโดยกรรมการตัดสินแบบค้านสายตา และรู้สึกเสียใจมากที่ตัวเองเป็นถึงนายกสมาคม แต่ไม่สามารถช่วยเหลือ หรือ ปกป้องนักกีฬาของเราได้เลย แม้กระทั่งตนใช้ตำแหน่งที่ปรึกษาประธานสหพันธ์รักบี้แห่งเอเชีย ลงไปขอตรวจสอบความถูกต้อง ยังโดนปฏิเสธกลับมาอย่างไม่ให้เกียรติ
พ.ต.ท.กุลธน ยังกล่าวต่อว่า นักกีฬาเราทุกคนลงแรงฝึกซ้อมเตรียมตัวกันมา 5 ปี เสียเหงื่อ เสียน้ำตา เพื่อการแข่งขันเอเชียนเกมส์ที่ตั้งใจว่าจะเอาเหรียญรางวัลกลับมาฝากแฟนๆกีฬาชาวไทย แต่กลับต้องมาถูกปล้นชัยชนะจากการตัดสินของกรรมการ วันนั้นตนเห็นนักกีฬาเราเดินร้องไห้ออกจากสนาม มันเลยต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อทวงความยุติธรรมคืนมาให้ได้
หลังจากนั้น พ.ต.ท.กุลธน ก็ได้เซ็นหนังสือลาออกจากการเป็น ที่ปรึกษาประธานสหพันธ์รักบี้แห่งเอเชีย และยังได้กล่าวว่า “วันนี้ผมขอลาออกจากการเป็นที่ปรึกษาประธานสหพันธ์รักบี้แห่งเอเชีย เพราะผมต้องการที่จะทำเรื่องประท้วงไปยังเอเชียรักบี้ และ เวิลด์รักบี้ ให้รับทราบเรื่องราวที่ไม่ยุติธรรมกับทีมชาติไทยในเอเชียนเกมส์ส่วนเรื่องการจะสานความสัมพันธ์ใหม่กับเอเชียรักบี้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับนายกสมาคมคนใหม่”