คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
ขอออกนอกกระแสการแข่งขัน บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) รอบรองชนะเลิศ สายตะวันออก กับ ตะวันตก ที่กำลังดุเดือด และอีกไม่นานเราคงจะทราบคู่ชิงชนะเลิศของแต่ละคอนเฟอเรนซ์ หลบมามุมผ่อนคลายบ้าง เพราะไม่นานมานี้ ผมเพิ่งกดแอพพลิเคชันดูหนัง-ซีรีส์ของเครือข่ายมือถือค่ายหนึ่ง แล้วบังเอิญเห็นว่าเขาเอาภาพยนตร์ “American Underdog : The Kurt Warner Story” มาให้รับชมกัน แต่ด้วยความกลัวเสียเงิน จึงไม่กล้ากดไปดู ถึงเวลาให้ดูฟรีเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน
ภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นการบอกเล่าประวัติ เคิร์ท วอร์เนอร์ ควอเตอร์แบ็ก เซ็นต์ หลุยส์ แรมส์ ยุค The greatest show on turf” หมายถึงเกมบุกที่สร้าง “บิ๊กเพลย์” ครั้งแล้วครั้งเล่า และทำสกอร์แบบถล่มทลาย ทำให้ผู้ชมไม่ต้องมานั่งง่วงเหงาหาวนอน ทนดูเกมอึดอัด, บุกกันไม่ขึ้น และสักประเดี๋ยวก็จบแบบ three and out อยูนั่นแหละ ชีวิตของเขาเริ่มจากคนทำมาหากินและสู้ชีวิตคนหนึ่ง กลายเป็นตำนานของ อเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL)
วอร์เนอร์ เริ่มต้นจากผู้เล่นไม่ถูกดราฟต์ ปี 1994 แต่ได้รับเชิญร่วม เทรนนิง แคมป์ กรีน เบย์ แพ็คเกอร์ส ร่วมกับ เบร็ตต์ ฟาฟร์, มาร์ก บรูเนลล์ และ ไท เด็ตเมอร์ แล้วโดน หั่นชื่อทิ้ง จึงมาทำงานเป็นพนักงานสต็อกสินค้าของ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่รัฐไอโอวา แลกกับค่าแรง 5.50 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 190 บาท) ต่อชั่วโมง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนาน “ซินเดอเรลลา”
ปี 1995 วอร์เนอร์ เซ็นสัญญากับ ไอโอวา บาร์นสตอร์เมอร์ส แฟรนไชส์หนึ่งของ อารีนา ฟุตบอล ลีก (อเมริกันฟุตบอลแบบอินดอร์) พาทีมทะลุถึง อารีนาโบว์ล 2 สมัย และติดทีมยอดเยี่ยมของลีก ปี 1996 กับ 1997 จึงได้รับโอกาสกลับมาพิสูจน์ตัวเองระดับ NFL กับ แรมส์ ปี 1998 โดยถูกส่งไปหาประสบการณ์ระดับ NFL ยุโรป ที่อัมสเตอร์ดัม แอดมิรัลส์ สร้างสถิติเป็นผู้เล่นระยะ กับ ทัชดาวน์ สูงสุดของลีก
วอร์เนอร์ ผ่านการตัดตัวเป็น 53 ขุนพลของ แรมส์ ฤดูกาล 1999 ก่อนขึ้นมาเป็นตัวจริงแทน เทรนท์ กรีน ควอเตอร์แบ็ก ที่ได้รับบาดเจ็บ ช่วยทีมปิดเรกูลาร์ ซีซัน สถิติ ชนะ 13 แพ้ 3 จนได้รับรางวัล ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) และต่อยอดถึงแชมป์ ซูเปอร์โบว์ล 34 ได้รับรางวัล MVP รอบชิงชนะเลิศ หลังเอาชนะ เทนเนสซี ไตตันส์ แบบหวุดหวิด 23-16 ซึ่งชัยชนะครั้งนั้นยังมี ไมค์ โจนส์ ไลน์แบ็คเกอร์ ที่ได้รับเครดิต ในฐานะคนแท็คเกิล เควิน ไดสัน ปีก ไตตันส์ ไม่ให้เข้า เอนด์ โซน ด้วย
2 ซีซันต่อมา วอร์เนอร์ คว้ารางวัล MVP กับเข้าถึง ซูเปอร์ โบว์ล อีก 1 สมัย (ฤดูกาล 2001) และถูกอาการบาดเจ็บรุมเร้า กระทั่งปี 2003 เขาเสียตำแหน่งแก่ มาร์ค บัลเจอร์ หลังผลงานย่ำแย่ จึงตัดสินใจแยกทาง แรมส์ ไป นิว ยอร์ก ไจแอนท์ส เริ่มต้นฤดูกาล 2004 สถิติ ชนะ 4 แพ้ 1 แต่ไม่วายถูกดร็อปเป็นสำรองของ อีลาย แมนนิง ควอเตอร์แบ็กดราฟต์เบอร์ 1 แล้วย้ายไป อริโซนา คาร์ดินัลส์
ที่อริโซนา วอร์เนอร์ ยังไม่รอดเสียตำแหน่งแก่ แม็ตต์ ไลนาร์ต ควอเตอร์แบ็กดราฟต์อันดับ 11 ปี 2006 สำหรับคนอื่นๆ อาจรู้สึกถอดใจเมื่อเหตุการณ์แบบเดิมๆ กลับมาหลอกหลอนซ้ำซาก แต่ไม่ใช่ วอร์เนอร์ เริ่มฤดูกาล 2007 ไลนาร์ต ทำหน้าที่ตัวจริงฤดูกาล 2007 แต่ปิดเทอมล่วงหน้าเพราะอาการบาดเจ็บ วอร์เนอร์ จึงได้แสดงฝีมืออขว้าง 27 ทัชดาวน์ ตลอด 11 เกมสุดท้าย พา คาร์ดินัลส์ ทำสถิติ ชนะ 8 แพ้ 8
เข้าสู่ฤดูกาล 2008 วอร์เนอร์ เป็นแกนนำของทีมเต็มตัว ออกสตาร์ทอย่างร้อนแรง ชนะ 7 แพ้ 3 นำจ่าฝูงดิวิชัน เอ็นเอฟซี (NFC) ตะวันตก มีลุ้นถึงรางวัล MVP สมัย 3 ทว่า “นกหัวแดง” ดันมาสะดุดครึ่งซีซันหลัง แพ้ 4 จาก 6 เกมสุดท้าย ถึงกระนั้นยังเพียงพอต่อการครองแชมป์ดิวิชัน
วอร์เนอร์ อาจจะชวด MVP อีก 1 สมัย แต่เขาเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ พา คาร์ดินัลส์ เข้าถึง ซูเปอร์โบว์ล ครั้งแรกของแฟรนไชส์ ด้วยเพลย์ขว้างทัชดาวน์ตัดสินเกมให้ ทิม ไฮจ์ทาวเวอร์ เหลือเวลา 2 นาที 53 วินาที พลิกจากตามอยู่ 24-25 แซงชนะ ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ทีมเต็งของสาย NFC 32-25 แต่สุดท้าย วอร์เนอร์ กับ ผองเพื่อน คาร์ดินัลส์ อกหักจากการรับบอลทัชดาวน์ตัดสินเกมแบบจิกปลายเท้าของ ซานโตนิโอ โฮล์มส ปีกนอก พิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส ช่วงท้ายเกม
นับจากนั้น วอร์เนอร์ ประกาศรีไทร์หลังจบฤดูกาล 2009 ในฐานะ MVP 2 สมัย กับ แชมป์ ซูเปอร์โบว์ล 1 สมัย ด้วยทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ถูกควอเตอร์แบ็กหนุ่มๆ แย่งตำแหน่ง, ปัญหาต่างๆ นานาทั้งอาการบาดเจ็บ หรือฟอร์มตก รวมถึงความซื่อสัตย์ต่อความฝันตัวเอง ผลักดันเขาจากชายธรรมดาๆ จนกลายเป็นควอเตอร์แบ็กผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของวงการ สุดท้ายนี้ ผมไม่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์ทั้งลิงค์เถื่อนหรือทางการ ไม่รู้หรอกว่า ภาพยนตร์เล่าจบที่ตรงไหน