ปกติเวลานักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ขายเสื้อแข่งได้มหาศาล สโมสรฟุตบอลก็จะได้ส่วนแบ่งจากยอดขายด้วยตามสัญญาที่ทำไว้กับสปอนเซอร์แต่ละเจ้า แต่ไม่ใช่กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยักษ์แห่ง ลีก เอิง ฝรั่งเศส ที่มีรายงานว่าพวกเขาไม่ได้ส่วนแบ่งยอดขายเสื้อของ ลิโอเนล เมสซี แม้แต่แดงเดียว
การปรากฏตัวของ เมสซี ในฐานะแข้งคนใหม่ของ PSG สร้างแรงสั่นสะเทือนที่ยอดเยี่ยมให้แก่โคตรทีมเศรษฐีแห่ง ลีก เอิง ที่เห็นชัดคือเสื้อแข่งหมายเลข 30 ของเจ้าตัว ที่ผลิตโดย ไนกี้ วางขายได้ไม่ถึงวันก็หมดเกลี้ยงกว่า 150,000 ตัว จนผู้ผลิตต้องเร่งสกรีนเสื้อล็อตใหม่ออกมาขายอีกรอบในเดือนตุลาคม
คนภายนอกอาจมองว่าบอร์ดบริหารของ PSG น่าจะยิ้มหน้าชื่นตาบานจากยอดขายเสื้อของแข้งบัลลงดอร์ 6 สมัย ที่ออเดอร์กันถล่มทลาย ราคาตัวละ 82.95 ปอนด์ (ประมาณ 3,830 บาท) สำหรับเสื้อปกติ และเสื้อเกรดเพลเยอร์ ตัวละ 117.95 ปอนด์ (ประมาณ 5,440 บาท)
เดิมทีนั้นการที่มีแบรนด์กีฬามาให้การสนับสนุนเสื้อแข่ง จะมีสัญญาระหว่างผู้ผลิตกับทีมฟุตบอลที่ระบุว่าจะต้องแบ่งยอดขายให้ 7% หรือตามแต่ที่สองฝ่ายตกลงกันได้ ซึ่งความจริง PSG ก็น่าจะได้ส่วนแบ่งยอดขายเสื้อจาก ไนกี้ ตรงนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
PSG เซ็นสัญญากับ ไนกี้ แบรนด์ระดับโลกในฐานะสปอนเซอร์ชุดแข่งเมื่อปี 2019 ซึ่งได้เงินสนับสนุนปีละ 80 ล้านยูโร (ประมาณ 3,150 ล้านบาท) ถึงปี 2032 ทว่าข้อตกลงคือยอดขายเสื้อทั้งหมด เช่นเสื้อของ เนย์มาร์, คีเลียน เอ็มบัปเป้ หรือคนอื่นๆ จะเข้ากระเป๋า ไนกี้ ฝ่ายเดียว
และนั่นเท่ากับว่ายอดขายเสื้อของยอดนักเตะชาวอาร์เจนไตน์ ล็อตแรกกว่า 150,000 ตัว ไนกี้ รับทรัพย์ไปเต็มๆ จนมีข่าวร่ำลือว่า PSG อาจขอเจรจากับ ไนกี้ เพื่อขอเปลี่ยนแปลงเรื่องสัญญาใหม่ให้พวกเขาได้รายรับจากยอดขายเสื้อของ เมสซี บ้าง
แม้ว่า PSG จะมีรายได้จากสปอนเซอร์ ที่แห่แหนเข้ามาเพราะการปรากฏตัวของ เมสซี รวมถึงตั๋วเข้าชมที่ ปาร์ค เดอ แปรงส์ รังเหย้า ที่น่าจะขายดีถล่มทลายเพราะแฟนบอลเข้าสนามได้แล้ว และอยากดูลีลาของ เมสซี กันทั้งนั้น แต่พวกเขาก็มองว่าถ้าได้ส่วนแบ่งยอดขายเสื้อมาอีก ก็จะส่งเสริมให้สถานะทางการเงินของทีมดีขึ้นอีกทาง ดังนั้นต้องรอดูว่า ไนกี้ กับ PSG จะสามารถเจรจาเรื่องนี้ได้ลงตัวหรือไม่
