ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยูโร 2020 โม่แข้งเข้าสู่ครึ่งทางความเข้มข้นทวีขึ้นเรื่อยๆ เพราะถึงด่านน็อกเอาท์หรือ 16 ทีมสุดท้ายแล้วใครพลาดไม่มีโอกาสให้แก้ตัว ซึ่งก่อนจะเตะคู่แรกคืนวันที่ 26 มิถุนายนนี้ เราขอนำไปสู่บทวิเคราะห์ทั้ง 8 คู่นำโดยอภิมหาบิ๊กแมตช์ "สิงโตคำราม" อังกฤษ จะผ่านได้หรือไม่เมื่อต้องโคจรมาเจอของแข็งอย่าง "อินทรีเหล็ก" เยอรมนี หรือจะโดนจุดโทษตามหลอกหลอนต้องจอดป้ายอีกครั้ง
เวลส์ vs เดนมาร์ก (วันที่ 26 มิถุนายน 23:00น. ตามเวลาไทย)
หลังจากเป็นม้ามืดเข้าสู่รอบตัดเชือก ยูโร 2016 ล่าสุด เวลส์ กระเสือกกระสนเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ถือว่าน่าพอใจสำหรับ "มังกรแดง" ที่ตั้งแต่ก่อนทัวร์นาเมนต์มีปัญหาต้องเปลี่ยนกุนซือ เพราะ ไรอัน กิ๊กส์ พัวพันคดีทำร้ายผู้หญิงมาเป็น ร็อบ เพจ รับหน้าที่แทน โดยเบียดเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม เอ และส่ง สวิตเซอร์แลนด์ ไปคว้าโควต้าเป็น 1 ในอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 ทีม แม้จะมีโชคอยู่บ้างที่รอบน็อกเอาท์มาเจอกับ เดนมาร์ก ทว่านักเตะความหวังอย่าง อารอน แรมซีย์ และ แกเร็ธ เบล ต้องยกระดับฝากความหวังได้มากกว่านี้ไม่เช่นนั้นคงจอดป้ายแค่รอบนี้ส่วนคนอื่นๆ นั้นยังไม่ถึงกับการเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่แบบนี้
ทางฝั่งของ เดนมาร์ก แชมป์เมื่อปี 1992 จากนั้นเข้ารอบน็อกเอาท์แค่หนเดียวคือปี 2004 ส่วนปีนี้ลิ่วรอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบเฉียดฉิว ทั้งที่เผชิญปัญหาตั้งแต่นัดแรกที่จอมทัพอย่าง คริสเตียน อีริกเซ่น มีปัญหาหัวใจหยุดเต้นกลางสนาม นักเตะที่เหลือรวมใจกันฝ่าฟันเข้ารอบมาได้โดยมีเพียง 3 แต้มในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่ม บี แต่ดูทรงทัพ "โคนม" ชุดนี้ดีกว่า เวลส์ เพราะมีนักเตะหลายคนพึ่งได้มากกว่าทั้ง ยุสเซฟ โพลเซ่น กองหน้าที่กดไปแล้ว 2 ประตูที่เหลือก็ แคสเปอร์ ชไมเคิล, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก
อิตาลี vs ออสเตรีย (วันที่ 26 มิถุนายน 02:00น. ตามเวลาไทย)
ทุกคนมองข้าม อิตาลี แชมป์สมัยเดียวเมื่อปี 1968 เพราะไม่ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2018 แต่ล่าสุดลูกทีม โรแบร์โต้ มันชินี กลายเป็นตัวเต็งแชมป์ ยูโร 2020 จากผลงานชนะ 3 นัดรวด โดยขุมกำลัง "อัซซูรี" นั้นไม่ได้เพิ่งมาเด่นในรอบแบ่งกลุ่มแต่ทำได้ดีตั้งแต่อุ่นเครื่องรวมทุกรายการ 11 นัดชนะรวดแบบไม่เสียประตูเลย นักเตะชุดนี้น่าสนใจหลายคนเกมรอบแบ่งกลุ่ม มาร์โก แวร์รัตติ สลับกันเล่นกับ มานูเอล โลตาเตลลี ได้สบาย ขณะที่ มัตเตโอ เปสซินา ก็เด่นขึ้นมา ระบบสามารถปรับจาก 4-3-3 เป็น 3-2-5 แผงรุกเด่นหลายคนทั้ง ลอเรนโซ อินซิเย, เฟเดริโก เคียซ่า และ ชิโร อิมโมบิเล
แต่ว่า ออสเตรีย ก็เข้ารอบมาอย่างแข็งแกร่งในฐานะอันดับ 2 กลุ่ม ซี ที่มี 6 คะแนน โดยถือเป็นการลิ่วน็อกเอาท์หนแรก ยูโร ในประวัติศาสตร์ชาติด้วย ดังนั้น อิตาลี จะประมาทไม่ได้อย่างเด่นขาด นักเตะอย่าง คริสตอฟ บวมการ์ทเนอร์, มาร์โก อาร์เนาโตวิช และ มาร์เซล ซาบิทเซอร์ คือตัวเลือกแนวรุกที่ยอดเยี่ยม แต่ม้านั่งสำรองก็พร้อมลุกมาเป็นทีเด็ดทั้ง ไมเคิล เกรกอริตซ์ และ ซาซ่า คาลาจซิช โดยมีหัวใจแนวรับที่สอดมาเติมเกมรุกดีอย่าง ดาวิด อลาบา แข้งวัย 28 ปีที่ประสบการณ์เหลือล้น
เนเธอร์แลนด์ส vs สาธารณรัฐเช็ก (วันที่ 27 มิถุนายน 23:00น. ตามเวลาไทย)
เข้ารอบน็อกเอาท์มาแบบสมศักดิ์ศรีและตามคาดสำหรับ เนเธอร์แลนด์ส ที่ชนะมา 3 นัดรวด กระนั้นก็ตามยังแอบห่วงลึกๆ เพราะบททดสอบที่ผ่านมาอย่าง ออสเตรีย ยูเครน และ นอร์ธ มาเซโดเนีย กระดูกยังไม่แข็งมากนัก ขุนพล "อัศวินสีส้ม" ชุดนี้น่าจับตาหลายคนทั้ง เดนเซล ดุมฟรีส์ แบ็กขวาจอมบุกกับกองหน้าอย่าง ดอนเยลล์ มาเลน คีย์แมนคือ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม มิดฟิลด์ที่เด่นเหลือเกินยามเล่นทีมชาติกดไปแล้ว 25 ประตูจาก 78 นัดรวม 4 ประตูจาก 8 เกมในปีนี้ ส่วนคนที่เหลือนั้นอันตรายทั้ง เมมฟิส เดปาย, แฟรงกี เดอ ยอง รวมถึงอาวุธลับมิดฟิลด์ดาวรุ่ง ไรอัน กราเวนเบิร์ช ส่วนหลังบ้านมี มาไตส์ เดอ ลิจต์ คอยคุม
ข้ามมาดู เช็ก จากกลุ่ม ดี ที่เข้ารอบมาเป็น 1 ในอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 ทีม จุดเด่นของทีมชุดนี้คือเกมรับที่ เนเธอร์แลนด์ส ต้องเจาะเข้าไปให้ได้ แต่บุกเพลินๆ ต้องระวังแนวรุกอย่าง แพทริค ชิค กองหน้าที่ยิงประตูสุดสวยประจำทัวร์นาเมนต์ระยะ 49.7 หลาใน สกอตแลนด์ ในชัยชนะ 2-0 รอบแบ่งกลุ่ม รวมแข้งจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน กดไปแล้ว 3 ประตู
เบลเยียม vs โปรตุเกส (วันที่ 27 มิถุนายน 02:00น. ตามเวลาไทย)
เข้ารอบมาในฐานะแชมป์กลุ่ม บี ถือว่าตามคาดสำหรับ เบลเยียม ทีมอันดับ 1 ของโลกที่ชนะ 3 นัดรวดแม้จะมีหืดบ้างในเกมชนะ เดนมาร์ก 2-1 นอกจากนี้การได้ เควิน เดอ บรอยน์ ฟิตคืนสนามทำให้ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" น่ากลัวขึ้นเป็นกอง หลังจากเพลย์เมกเกอร์รายนี้เจ็บโหนกแก้มแตกในนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นอกจากนี้ โรเมลู ลูกากู กองหน้าสุดอันตรายก็กดไปแล้ว 3 ประตู ถือว่าเป็นทีมที่มีขุมกำลังตัวเลือกล้นมือจริงๆ ก็หวังว่าจะก้าวไปคว้าแชมป์ ยูโร สมัยแรกได้เสียทีเพื่อเรียกได้ว่าเป็นยุคทองแบบเต็มปากเต็มคำ โดยก่อนหน้านี้ดีที่สุดคือรองแชมป์เมื่อปี 1980 ส่วน 4 ปีที่แล้วไปได้ไกลที่สุดเพียงแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น
ฟากฝั่ง โปรตุเกส ผ่านกรุ๊ปออฟเดธกลุ่ม เอฟ เข้ารอบมาเป็น 1 ในอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 ทีม ซึ่งแชมป์เก่าเมื่อปี 2016 ขอบคุณใครไม่ได้เลยนอกจาก คริสเตียโน โรนัลโด้ ความหวังของทีมที่ยิงไปแล้ว 5 ประตูนำดาวซัลโวแม้ว่าจะวัย 36 ปีแล้วก็ตาม แต่หากจะป้องกันแชมป์ต้องหวังให้คนอื่นๆ อย่าง บรูโน แฟร์นันเดส, ดิเอโก โชต้า และ แบร์นาร์โด ซิลวา คายพิษสงแบ่งเบาภาระมากกว่านี้ เพราะทัพ "ฝอยทอง" ก็ถือเป็นหนึ่งในทีมที่มีนักเตะฝีเท้าดีหลายต่อหลายคน
โครเอเชีย vs สเปน (วันที่ 28 มิถุนายน 23:00น. ตามเวลาไทย)
รองแชมป์โลกเมื่อปี 2018 โครเอเชีย เข้ารอบมาในฐานะอันดับ 2 กลุ่ม ดี โดยมารอดตายเอาในเกมสุดท้ายที่ชนะ สกอตแลนด์ 3-1 ถือว่าเครื่องร้อนช้าไปหน่อยแถมนักเตะหลายคนอายุอานามโรยรา ลูก้า โมดริช วัย 35 ปีกับ อิวาน เปริซิช วัย 32 ปี แต่ทีมยังขาด โมดริช ไม่ได้ เพราะถือเป็นนักเตะประสบการณ์สูงและนิ่งมาก แม้ทักษะไม่ฉูดฉาดโดดเด่น แต่พอลงสนามถือว่ามีอิทธิพลกับทีมมาก ทว่าก็ต้องพึ่งคนอื่นๆ ให้ขึ้นมาเป็นกระดูกสันหลังทีมให้ได้ทั้ง มาเตโอ โควาซิช กับ มาร์เซโล โบรโซซิช รวมถึงรอ เดยัน ลอฟเรน หายเจ็บฟิตกลับมาคุมหลังบ้านทีมก็น่าจะลงตัวมากกว่านี้
เหลือบมามอง สเปน กว่าจะเข้ารอบน็อกเอาท์ในฐานะอันดับ 2 กลุ่ม อี ต้องรอจนถึงเกมสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มที่ถล่ม สโลวาเกีย 5-0 แต่เชื่อว่า หลุยส์ เอ็นริเก้ กุนซือ "กระทิงดุ" กับแฟนบอลยังไม่คลายความกังวลใจ เนื่องจากทราบดีว่าทีมชุดนี้เทียบไม่ได้เลยกับชุดแชมป์เมื่อปี 2008 กับ 2012 กองหน้าอย่าง อัลบาโร โมราต้า พึ่งไม่ได้เลย ดาวรุ่งอย่าง เฟอร์ราน ตอร์เรส กับ เปดรี ต้องการเวลามากกว่านี้ ส่วน เคราร์ด โมเรโน, พาโบล ซาราเบีย และ อดามา ตราโอเร ต้องเด่นกว่านี้ ความหวังจึงไปตกอยู่กับตัวเก๋าอย่าง เซร์คิโอ บุสเกตส์ สิ่งเดียวที่อุ่นใจของทีมชุดนี้คือมีเกมรับที่เหนียวแน่น
ฝรั่งเศส vs สวิตเซอร์แลนด์ (วันที่ 28 มิถุนายน 02:00น. ตามเวลาไทย)
แชมป์โลกเมื่อปี 2018 ผ่านกรุ๊ปออฟเดธมาในฐานะแชมป์กลุ่ม เอฟ แบบที่ไม่แพ้ใคร ทั้งที่พลาดในเกมที่เสมอ ฮังการี 1-1 กระนั้นก็ตามทัพ "เลส์ เบลอส์" นั้นยังมีขุมกำลังน่ากลัว คาริม เบนเซมา คืนทีมชาติยิง 2 ประตูในเกมเสมอ โปรตุเกส 2-2 ถือว่าประสบการณ์ของดาวยิงวัย 33 ปีเข้ามาช่วยทีมได้เยอะทีเดียว เหลือรอเวลาให้ อองตวน กรีซมันน์ กับ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ฉายแสงมากกว่านี้ โดยเฉพาะหอก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่เคยกด 4 ประตูใน เวิลด์ คัพ เมื่อปี 2018 ขณะที่กองกลางมี ปอล ป๊อกบา ที่มักจะเป็นร่างเทพเสมอยามรับใช้ชาติ
ขณะที่ สวิตเซอร์แลนด์ จากกลุ่ม เอ เข้ารอบมาเป็น 1 ในอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 ทีม ซึ่งก็ต้องขอบคุณผลงานนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มที่ชนะ ตุรกี 3-1 นักเตะจากแดนนาฬิกาหลายคน อาทิ บรีล เอ็มโบโล กับ แฮริส เซเฟโรวิช รีดฟอร์มออกมาได้ทันเวลา แต่คำถามคือเมื่อเจอกับทีมแข็งในรอบน็อกเอาท์จะทำเช่นนี้ได้อีกหรือไม่ คนที่ไว้ใจได้เหมือนจะมีคนเดียวคือ เซอร์ดาน ชากิรี ตัวรุกจาก ลิเวอร์พูล ที่ยิงคนเดียว 2 ประตูในเกมชนะ ตุรกี ส่วนคนอื่นๆ ยังเงียบ ขณะที่กองกลางดาวรุ่งอย่าง เดนิส ซากาเรีย จาก โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค นั้นยังทำได้น่าผิดหวัง
อังกฤษ vs เยอรมนี (วันที่ 29 มิถุนายน 23:00น. ตามเวลาไทย)
คู่อภิมหาบิ๊กแมตช์ของรอบ 16 ทีมสุดท้ายนี้ก็ว่าได้ อังกฤษ เข้ารอบมาในฐานะแชมป์กลุ่ม ดี แต่รูปเกมนั้นหืดทีเดียวยิงคู่แข่งได้แค่นัดละลูกเท่านั้น ที่ต้องชมคือกุนซือ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่ใจถึงให้โอกาสดาวรุ่ง โดยเกมนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มที่ชนะ เช็ก 1-0 กล้าที่จะส่ง บูกาโย ซากา แนวรุกวัย 19 ปีจาก อาร์เซนอล ออกสตาร์ทตัวจริงและเล่นได้ดีเสียด้วย ส่วนคำถามคือกุนซือ "สิงโตคำราม" จะส่งใครชนกับ เยอรมนี ในเกมที่ต้องการประสบการณ์เช่นนี้แล้วบรรดาเลือดใหม่เมื่อเจอของแข็งและของจริงจะเล่นออกหรือไม่ โดยเป็น ราฮีม สเตอร์ลิง คนเดียวที่คลำเป้าเจอกดไปแล้ว 2 ประตู ส่วน แฮร์รี่ เคน กองหน้าความหวังยังฝืด นอกจากนี้ได้ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ฟิตกลับมาเป็นตัวเลือก คำถามสุดท้าย ยูโร 1996 จะตามหลอน เซาธ์เกต หรือไม่ เพราะเขายิงจุดโทษคนสุดท้ายพลาดทำให้แพ้ "อินทรีเหล็ก" จอดป้ายรอบตัดเชือก
เยอรมนี เข้ารอบมาในฐานะอันดับ 2 กลุ่ม เอฟ แบบเสียฟอร์มนิดหน่อย เพราะนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มเสมอ ฮังการี 2-2 ต้องดูว่าทัวร์นาเมนต์ส่งท้ายของ โยอาคิม เลิฟ จะทำได้ดีแค่ไหน จุดเด่นของ "อินทรีเหล็ก" คือเล่นด้วยระบบจะไม่มีนักเตะคนใดเด่นขึ้นมา แต่รอบที่ผ่านมา ไค ฮาแวร์ตซ์ แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จาก เชลซี ก็ทำได้ดียิงไปแล้ว 2 ประตู ถือเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะนักเตะอย่าง โจชัว คิมมิช, แซร์จ กนาบรี และ โรบิน โกเซนส์ พร้อมจะเด่นขึ้นมาได้ทุกเวลา
สวีเดน vs ยูเครน (วันที่ 29 มิถุนายน 02:00น. ตามเวลาไทย)
แชมป์กลุ่ม อี อย่าง สวีเดน ที่สามารถเบียดของแข็ง สเปน มาได้อย่างสวยสดงดงาม แม้ว่าจะไม่มี ซลาตัน อิบราฮิโมวิช แต่ว่า เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ก็กดไปแล้ว 3 ประตู เหลือแค่รอดาวรุ่งฉายา "นิว ซลาตัน" อย่าง อเล็กซานเดอร์ ไอแซค จับจังหวะของตนเองให้ได้ทีมก็น่าจะอันตรายมากขึ้น เพราะหอกวัย 21 ปีถือว่าครบเครื่องมีทั้งความเร็ว พละกำลัง และทักษะ อีกคนที่น่าจับตาก็คือ เดยัน คูลูเซฟสกี กองกลางดาวรุ่งจากค่าย "ม้าลาย" ยูเวนตุส
ข้ามมาดู ยูเครน ที่คุมมาโดยอดีตกองหน้าระดับตำนานอย่าง อังเดร เชฟเชนโก เข้ารอบมาแบบไม่น่าประทับใจนักในฐานะอันดับ 3 ของกลุ่ม ซี โดยมีแค่ 3 แต้มเท่านั้นถือว่าผลงานห่วยที่สุดในบรรดา 16 ทีมที่ตบเท้าเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ แต่ผลงานดังกล่าวก็ถือว่าไม่พลิกโผมากนัก ถือว่าทีมชุดนี้มีปัญหาจริงๆ รอบแบ่งกลุ่มนั้นเสียประตูทุกนัด นักเตะฝากความหวังได้มีเพียงคนเดียวคือ อังเดร ยาร์โมเลนโก ตัวเดินเกมจาก เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด ดังนั้นดูแล้วคงยากที่จะทำเซอร์ไพรส์ไปมากกว่านี้