xs
xsm
sm
md
lg

“The Undertaker” ยัดห่วงมหาลัยสู่ตำนาน WWE / MVP

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมส์ Buzzer Beat โดย MVP

เนิ่นนานเหลือเกินที่เราไม่ได้ติดตามศึกมวยปล้ำ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี (WWE) บนหน้าจอ สำหรับผมก็คงนับตั้งแต่ช่วงรุ่งเรืองสุดขีดของ จอห์น ซีนา ซูเปอร์สตาร์มาดแร็ปเปอร์ น่าจะราว 10 กว่าปีเห็นจะได้ กระทั่งย้อนเช็กข่าวเก่าๆ พบว่า บริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแห่งหนึ่ง ซื้อลิขสิทธิ์กลับมาให้แฟนๆ ชาวไทยรับชมกันอีกครั้ง หลังหายไปนาน 4 ปี ซึ่งข่าวคราวนี้มีการยืนยันบนเพจ “ทวิตเตอร์” ของ สเตฟานี แม็คแมน บุตรสาว วินเซนต์ เคนเนดี แม็คแมน เจ้าของสมาคม

ตามช่วงวัยของผม บรรดาซูเปอร์สตาร์ยุคนั้นอย่าง “The Heartbreak Kid”ชอว์น ไมเคิลส์, เบร็ต “เดอะ ฮิตแมน” ฮาร์ท สุดยอดแห่งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต, “สโตน โคลด์” สตีฟ ออสติน ต่างรีไทร์กันหมดแล้ว บ้างก็ผันตัวมาวงการบันเทิงอย่าง “เดอะ ร็อก” บ้างก็ผันตัวมาอยู่เบื้องหลังอย่าง “ทริปเปิล เอช” ลูกเขยป๋าวินซ์ ที่ขึ้นมารับช่วงบริหารกิจการต่อไป ร่วมกับ เชน และ สเตฟานี

คริสต์ศักราช 2020 ซูเปอร์สตาร์ของ WWE ที่ใครๆ ต่างคุ้นหน้าคุ้นตา และคุ้นชื่อเสียงเรียงนามของเขาอย่างแพร่หลาย “ดิ อันเดอร์เทเกอร์ (The Undertaker)” นักมวยปล้ำรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่าเกรงขาม, เดินขึ้นสังเวียนท่ามกลางความมืดกับหมอกควันน้ำแข็งแห้งแบบเนิบๆ และช่วงหนึ่งเคยพลิกบทบาทเป็นไอ้หนุ่มฮาร์เลย์ ฉายา “American Bad Ass” อยู่พักหนึ่ง ก็เพิ่งจะประกาศอำลาสังเวียนเดือนมิถุนายน เท่ากับว่า น่าจะหมดสต็อกนักมวยปล้ำที่เคยเป็นแม่เหล็กในยุคของผมแล้ว

ตำนานของ “เจ้าสัปเหร่อ” คนติดตามมวยปล้ำต่างรู้ดี สถิติไร้พ่ายศึก Wrestlemania ที่ควรจะถูกกล่าวขานชั่วกัปชั่วกัลป์ ถูกทำลายเสียป่นปี้ด้วยกลโกงของ บร็อค เลสเนอร์ สร้างความตกตะลึงแก่ผู้ชมรอบเวที แมตช์แห่งความทรงจำแบบส่วนตัวครั้งหนึ่ง คือ อีเวนท์ “Bad Blood” ปะทะขวัญใจของผม ชอว์น ไมเคิลส์ หัวหน้าทีม DX ยุคนั้นในกรงเหล็ก เล่นเอาเสีย HBK สะบักสะบอม พอถึงบทสรุปก็เป็นการเปิดตัว “เคน (Kane)” ที่อ้างตัวว่าเป็นน้องชาย เมื่อปี 1997

เชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนยังไม่รู้ คือ ช่วงวัยหนุ่มของ “อันเดอร์เทเกอร์” ซึ่งตามบทบาทระบุไว้ว่ามาจาก หุบเขาแห่งความตาย (Death Valley) ตามบทบาท จริงๆ แล้วบุรุษที่มีชื่อจริงว่า “มาร์ค คาลาเวย์” เกิดที่เมืองฮุสตัน มลรัฐเท็กซัส เคยเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล วอลทริป ไฮ สคูล จบการศึกษาปี 1983 ได้รับทุนบาสเกตบอลเรียนต่อ ที่แองเจลินา คอลเลจ แต่เลือกเล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์ให้ Texas Wesleyan University (กลัวออกเสียงผิด) ฤดูกาล 1985-86 ภายใต้การคุมทีมของ ริชาร์ด ฮูเกนดูร์น เฮดโค้ช

น่าเสียดายจริงๆ ที่มิอาจสืบค้นสถิติของ คาลาเวย์ ส่วนสูง 6 ฟุต 9 นิ้ว สมัยเล่นบาสเกตบอลได้ แต่ว่ากันว่า สรีระและความคล่องตัวของเขา เป็นเหตุให้ แมวมองจากทวีปยุโรป ติดต่อมายังโค้ช ฮูเกนดูร์น เพื่อขอดึงตัวไปเล่นระดับอาชีพ ที่ประเทศฝรั่งเศส พร้อมเสนอสัญญามูลค่า 80,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยตกราวๆ 2.4 ล้านบาทต่อปี ทว่าเขาเริ่มหันมาสนใจกีฬามวยปล้ำมากกว่า

โค้ชแวนดูร์น ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า “ผมคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว” เนื่องจากสมาคมมวยปล้ำยุคนั้น ไม่ใช่องค์กรที่ถูกผลักดันสู่ระดับโลก และ ป๋าวินซ์ ก็ยังไม่ได้เข้ามาบริหารจัดการจน WWE ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายดังเช่นปัจจุบัน นับจากนั้น คาลาเวย์ หันหลังให้กีฬายัดห่วง ขณะเข้าสู่ปี 3 ระดับมหาวิทยาลัย ค่อยๆ ไต่เต้าจากสมาคมระดับท้องถิ่น แล้วเซ็นสัญญาอาชีพกับ WWF (ก่อนเปลี่ยนมาเป็น WWE เมื่อปี 2002 เนื่องจากตัวย่อซ้ำกับองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่า) เมื่อปี 1990

เปรียบเทียบตามไทม์ไลน์ หาก คาลาเวย์ จริงจังกับการเล่นบาสเกตบอล เพื่อเข้าสู่ระดับอาชีพ ก็อาจจะถูก “บิ๊กแมน” อาทิ ชาร์ลส บาร์กลีย์, ฮาคีม “เดอะ ดรีม” โอลาจูวอน, ชอว์น เคมพ์ หรือ ชาคิลล์ โอ'นีล กลบรัศมีเสียหมด ยิ่งบวกกับมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้มีชื่อเสียงด้านกีฬายัดห่วง จึงยากที่จะมีโอกาสสำแดงฝีมือต่อหน้าแมวมองระดับ เอ็นบีเอ (NBA) หากไม่เก่งจริง ถึงวันนี้ ถือว่าเขาเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง เนื่องจากเขากลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของ WWE และอยู่ในความทรงจำของแฟนๆ มวยปล้ำตลอดกาล สุดท้ายนี้ขอขอบคุณเพจ “เฟซบุก” ของผู้บรรยายมวยปล้ำระดับตำนานเช่นกัน ที่ทำให้นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ สำหรับสัปดาห์หนึ่งอันเงียบเหงา
กำลังโหลดความคิดเห็น