เจากกรณีที่เกิดวิวาทะเรื่องศิลปะระหว่างการแสดงออกทางการเมืองของผู้ชุมนุม โดยมี “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ กับ “บอ.บู๋” บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร คอลัมนิสต์กีฬาฝีปากกล้าเป็นคู่ขัดแย้ง
แม้จะผ่านล่วงเลยมาหลายวัน ทว่าดูเหมือนว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่จบ เมื่อมีอดีตคอลัมนิสต์กีฬารุ่นใหญ่แห่งสำนักข่าว “หัวเขียว” ที่ปัจจุบันผันตัวจากอาชีพสื่อมวลชนไปเปิดร้านขายอาหาร ออกมาโพสต์ตำหนิ “บอ.บู๋” ว่ายังไม่หายสลิ่มอีกเหรือ
“มึงยังไม่หายสลิ่มอีกเหรอวะไอ้บู๋ ลูกกวิ้นเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
ซึ่งตัว “บอ.บู๋” เองได้ออกมาโพสต์ตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนว่า ตนเองเป็น “ลูกผู้ชาย” เพียงพอ และยอมรับความเห็นที่แตกต่างได้ แต่คนกันเองแท้ๆ ไม่น่าทำแบบนี้ว่า พร้อมกับทิ้งท้ายแบบเจ็บแสบว่า “สลิ่มพ่องกูแค่มินเนี่ยน”
นอกจากนี้ หลังโพสต์จบแล้ว ยังมีแฟนคลับมาให้กำลังใจ “บอ.บู๋” เป็นจำนวนมาก ซึ่งเจ้าตัวก็ยังบอกไปด้วยว่า “ใครรู้จักหรือเป็นเพื่อนมันในเฟซ ฝากบอกด้วยว่า...มีปัญหา เจอกูได้”
ก่อนอื่นก็อย่างที่บอกเมื่อวานนั่นแหละว่าผมไม่แสดงความเห็นเรื่องการเมืองทั้งบนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ และในโลกโซเชียลฯ มานานมากแล้ว นอกจากจะต้องการรักษาน้ำใจของเพื่อนในเฟซที่มีทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว ผมยังมองว่าตอนนี้การเมืองแม่งทำให้คนในชาติแตกแยกกันหมดแล้ว
เมื่อก่อนอาจมีบ้างที่แอบด่าไอ้พวกนักการเมืองปากกว้างกว่ากระโถนขี้ กับ ส.ส.ที่แม่งชอบเห่าแข่งกับหมาลงในคอลัมน์ฟุตบอลของตัวเอง หรืออาจมีแซะมีถากในเฟซบ้าง แต่ก็แค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เขียนแบบจริงจัง เป็นเรื่องเป็นราว หรือเอาเป็นเอาตายอะไร กระเดียดไปทางกวนตีนซะมากกว่า
ที่สำคัญคือผมไม่ใช่พวกคลั่งชาติ แถมบางจังหวะออกจากชังๆ เสียด้วยซ้ำ - สาบานได้
ฉะนั้น & ฉะนี้ ผมจึงไม่น่าจะไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร หรือสร้างความหงุดหงิดง่ามตีนให้ใครในเรื่องนี้นะครับ
พี่....นักข่าวรุ่นพี่ อดีตคอลัมนิสต์กีฬาแห่งหนังสือพิมพ์ไทย.. เมื่อก่อน ผมก็อ่านคอลัมน์ของพี่แกเป็นประจำใน นสพ.หัวสีเขียว นอกจากนี้ เรายังเคยไปทำข่าวด้วยกันในศึกยูโร 2004 ที่ประเทศโปรตุเกส เคยไปสนามบอลด้วยกัน เคยสนทนากัน และเคยดื่มกินด้วยกัน
เรียนตามตรงว่าผมชอบพี่แกนะครับ เพราะคุยสนุก และมันดีว่ะ แถมเคารพและนับถือในฐานะคนข่าวรุ่นพี่ที่ประกอบอาชีพเดียวกัน และอยู่ในวงการเดียวกันจนน่าจะเรียกได้ว่าเป็น...'คนกันเอง'
หลังจากศึกยูโร 2004 ที่เมืองขนมฝอยทอง ผมก็ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ ของเจ้าของนามปากกา....อีกเลย แล้วก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊กด้วย แต่เวลาอ่านไทย... ผมก็ยังชอบอ่านข้อเขียนของพี่เขาเหมือนเดิม
กระทั่งวันหนึ่งทราบข่าวว่าแกออกจากไทย...แล้วมาเป็นนักธุรกิจซี่โครงหมูนึ่งซีอิ๊วแบบดีลิเวอรี
ต่อเมื่อทราบข่าว ผมบอกเมียให้อุดหนุนพี่.... ด้วยการสั่งซี้อซี่โครงหมูนึ่งซีอิ๊วของแกมาแดกหน่อยซี - อร่อยดีเหมือน แต่แกคงไม่รู้หรอกว่าผมนี่แหละบอกให้เมียเป็นคนสั่ง
จนผมโดนทัวร์ลงเมื่อวันก่อน (ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อิอิอิ) ก็มีคนส่งที่แกโพสต์ด่าผมในเฟซของแกมาให้ดู (ตามภาพประกอบ) อืมมมมมม...นะ เห็นแล้วก็ งง-งง พลางอุทานในใจ 'เชี่ยไรเนี่ย???...คนกันเองแท้ๆ'
เราขาดการติดต่อกันโดยตรง ไม่เคยเจอหน้ากันมานาน 16 ปี ไม่เคยสนทนากัน ไม่เคยโต้เถียงกัน และไม่เคยมีปัญหาอะไรกันแน่นอน อยู่ดีๆ พี่เขากลับมาด่าผมในโลกโซเชียล เพียงแค่ความเห็นต่างทางการเมืองเนี่ยนะ โคตรเสียความรู้สึกเลยครับ-ขอบอก
ว่าแล้วผมอยากบอกกับพี่... ว่า...พี่ครับ ถ้าผมเป็นพี่ ต่อให้เห็นต่างทางการเมือง ต่อให้อยู่กันคนละข้าง หรือต่อให้เกลียดชังฝั่งตรงข้ามขนาดไหน
คนอย่างผมจะไม่ทำกับ “คนกันเอง” แบบนี้แน่นอนครับ
อยากบอกพี่ เผื่อพี่ไม่รู้ว่า “ลูกผู้ชาย” เขาไม่ทำแบบนี้ครับ เพราะมัน “หน้า-ีย์” ครับพี่ครับ
#สลิ่มพ่องกูแค่มินเนี่ยน”
ก่อนอื่นก็อย่างที่บอกเมื่อวานนั่นแหละว่าผมไม่แสดงความเห็นเรื่องการเมืองทั้งบนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์...โพสต์โดย Bouranij Abbjom Rattanavichien เมื่อ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2020