ไม่ว่าคุณจะกล่าวหาชายคนนี้ว่าเป็น “พระเจ้า” หรือ “ปีศาจ” แต่ที่สุดแล้ว ชายที่ชื่อ ดีเอโก มาราโดนา จารึกชื่อตัวเองในฐานะตำนานฟุตบอลตลอดกาลของโลก และถูกยอมรับในฝีเท้าโดยสดุดีจากแฟนบอลทั่วโล
มาราโดนา เกิดวันที่ 30 ตุลาคม 1960 ชีวิตผูกพันกับฟุตบอลตั้งแต่เด็ก เขาเคยพูดออกสื่อว่านอนกอดลูกฟุตบอลตอนอายุ 3 ขวบในทุกคืน ก่อนเริ่มเล่นฟุตบอลแบบจริงจังในวัย 10 ขวบ ความโดดเด่นทั้งการยิงประตูด้วยเท้าซ้าย-ขวา, ศีรษะ และทักษะต่างๆ โดดเด่นเหนือใครในโมงยามนั้น
อาร์เจนตินอส จูเนียร์ คือสโมสรแรกที่ มาราโดนา ลงเล่นอาชีพ ผลงานยามนั้นยอดเยี่ยมเกินใคร ซัด 116 ประตู จาก 167 เกมที่ลงเล่นทุกรายการ ในช่วงเวลาปี 1976-1981
“การดูเขาเล่นฟุตบอล คือความสุขที่แสนบริสุทธิ์ นี่คือดาราผู้เฉิดฉายตัวจริง” คาร์ลอส เบลทราน เพื่อนร่วมทีม อาร์เจนตินอส จูเนียร์ เอ่ยถึงความมหัศจรรย์ของมาราโดนาในวัยเด็ก ซึ่งในที่สุดหลังย้ายไปเล่นกับ โบคา จูเนียร์ สั้นๆ 1 ปี บาร์เซโลนาก็มาเอาตัวไปในราคา 8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 242 ล้านบาท) เป็นนักฟุตบอลค่าตัวสูงสุดในโลกยามนั้น
แต่ช่วงเวลาที่ทำให้ มาราโดนา เฉิดฉายจริงคือตอนที่ย้ายไปอยู่กับนาโปลี ปี 1984 และช่วงเวลาจนถึงปี 1991 “เสือเตี้ย” กลายเป็นที่รักของชาวเนเปิลส์ ด้วยการกดไป 81 ประตู ช่วยให้ นาโปลี ได้ครอง กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี 2 สมัย
ทว่าก็ยังไม่ยิ่งใหญ่พอเท่ากับการติดทีมชาติอาร์เจนตินา ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก แมตช์คลาสสิกตลอดกาล คือ รอบ 8 ทีมสุดท้าย อาร์เจนตินาพบอังกฤษ เกมนั้น มาราโดนา สร้างตำนาน “หัตถ์พระเจ้า” ใช้มือกระแทกบอลกลางอากาศ หนีมือ ปีเตอร์ ชิลตัน เข้าประตู ซึ่งด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบันทำให้กรรมการและคนดูต่างงุนงงพร้อมกังขาว่ามัน “ฟาล์ว” หรือไม่ ซึ่งเวลาต่อมาประตูนั้นถูกเรียกว่า “หัตถ์พระเจ้า” (แฮนด์ ออฟ ก็อด)
แต่ไม่นานในเกมเดียวกัน มาราโดนาก็โชว์ลีลา “ชายเดี่ยว” ลากบอลหนีนักเตะอังกฤษ 5-6 คน เข้าไปยิงประตูแบบเหนือชั้น จนถูกยกให้เป็น “ประตูแห่งศตวรรษ” และเกมนั้นจบลงที่ อาร์เจนตินา ชนะ อังกฤษ 2-1 ก่อนลอยลำไปคว้าแชมป์โลกได้อย่างยิ่งใหญ่เหนือเยอรมันตะวันตก 3-2 แม้จะไม่ได้ยิง แต่ความหัศจรรย์ที่ ดีเอโก ร่ายมนต์ไว้ตลอดทัวร์นาเมนต์ก็ทำให้เจ้าตัวถูกจดจำไม่มีวันลืม
หลังหมดเวลากับ นาโปลี ปี 1991 มาราโดนา ลงเล่นให้กับทีมมากมายอย่าง เซบีญ่า, กลับมาค้าแข้งกับทีมบ้านเกิดอย่าง นีเวลส์ โอลด์ บอยส์ และ โบคา จูเนียร์ ทีมสุดท้ายในชีวิต ก่อนแขวนสตั๊ด 1997 ผันตัวไปเป็นโค้ชทีมฟุตบอล และคอมเมนเตเตอร์ต่างๆ รวมถึงเป็นกุนซืออาร์เจนตินา ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ซึ่งแม้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ลีลาการคุมทีมและทุกอิริยาบถตลอดที่ทำงานในแอฟริกาใต้ก็เป็นสีสันให้สื่อมวลชนหยิบจับมาเล่นได้สนุกสนานทุกวัน
ชีวิตนอกสนามของมาราโดนา อาจมีทั้งเรื่องอื้อฉาว ทั้งการใช้ยาเสพติด, ชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลว, การถูกกล่าวหาว่าโกงเงินภาษีสมัยเล่นกับนาโปลี รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย จนถูกเรียกว่าเป็น “ปีศาจในคราบนักฟุตบอล” แต่ในวงการลูกหนัง เขายังคงเป็นที่เคารพรักของทุกคนเสมอ
เดือนพฤศจิกายน ปี 2020 มาราโดนา ฉลองวันเกิดครบรอบ 60 ปี แต่ไม่นานกลับถูกส่งตัวเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลในบ้านเกิด เพราะพบว่ามีเลือดคั่งในสมอง แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จจนออกจากโรงพยาบาลกลับมารักษาตัวได้ แต่แล้ว มาราโดนา จากโลกนี้ไปด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
ย้ำอีกครั้งว่า ไม่ว่าคุณจะกล่าวหาชายคนนี้ว่าเป็น “พระเจ้า” หรือ “ปีศาจ” แต่ทุกสิ่งที่ มาราโดนา ทำไว้ตลอด 60 ปี มันคือความทรงจำแสนมีคุณค่าต่อวงการฟุตบอลระดับโลก ที่จะถูกบันทึกและจดจำในพงศาวดารลูกหนังไว้อย่างตลอดกาล
เกียรติประวัติตลอดชีวิตฟุตบอลของ “ดิเอโก้ มาราโดนา”
โบคา จูเนียร์
- แชมป์ลีก อาร์เจนตินา (1981)
บาร์เซโลน่า
- โคปา เดล เรย์ (1983)
- โคปา เดอ ลา ลีกา (1983)
- ซูเปอร์ โคปา (1983)
นาโปลี
- กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี (1986-87 / 1989-90)
- โคปปา อิตาเลีย (1986-97)
- ยูฟ่า คัพ (1988-89)
- ซูเปอร์โคปปา อิตาเลีย (1990)
อาร์เจนตินา ชุดเยาวชน
- แชมป์เยาวชนโลก (1979)
อาร์เจนตินา ชุดใหญ่
- แชมป์โลก (1986)
- อาร์เตมิโอ ฟรังคี โทรฟี (1993)
ตลอดการเล่นสโมสรอาชีพ - มาราโดนา ยิงไป 312 ลูก จาก 588 นัดทุกรายการ
ตลอดการเล่นทีมชาติอาร์เจนตินา- มาราโดนา ยิงไป 42 ประตู จาก 106 นัดทุกรายการ