"ดีเอโก้ มาราโดนา" ไม่ใช่แค่นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาเท่านั้น แต่เขายังเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของประเทศอาร์เจนติน่า, เป็นสัญลักษณ์แห่งยุค 80s ที่จะอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลไปนานเท่านาน รวมถึงในสื่อบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย
ว่ามีบุคคลระดับตำนานที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอยู่ 3 คน นั่นก็คือ คาร์ลอส การ์เดล ผู้คิดต้นการเต้นรำแบบแทงโก้, อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 อีวา เบรอง หรือ "เอวีต้า" และนักฟุตบอลที่ "แบก" ทีมชาติอาร์เจนติน่าขึ้นคว้าแชมป์โลกครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของประเทศอย่าง ดีเอโก้ มาราโดนา
ดีเอโก้ มาราโดนา จึงไม่ใช่แค่นักกีฬาระดับซูเปอร์สตาร์เท่านั้น แต่เขาคือ "เทพเจ้า" ของชาวอาร์เจนติน่า เป็นเหมือนศาสนาหนึ่งของชาวาร์เจนติน่า
อย่างที่ ฮอร์เก วัลดาโน เคยอธิบายเอาไว้ว่า ในวันที่ ดีเอโก้ มาราโดนา เลิกเล่นฟุตบอล ประชาชนชาวอาร์เจนติน่าคงยากที่จะทำใจได้ เพราะเขาไม่ใช่แค่นักกีฬาผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนขวัญ และกำลังใจเดียวของประชาชน ในช่วงเวลาที่ประเทศเต็มไปด้วยปัญหา, อยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ และประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาสังคมมากมาย
"มาราโดนา คือผู้ที่ช่วยให้ประชาชนลืมเลือนความทุกข์ทุกอย่างไปชั่วขณะ นั่นแหละทำให้เขาแทบจะกลายเป็นเทพเจ้า" ฮอร์เก วัลดาโน กล่าว
การยกย่อง มาราโดน่า เป็นเทพเจ้ากลายเป็นรูปธรรมขึ้นมาในเมืองโรซาริโอที่มีการตั้ง "โบสถ์มาราโดน่า" ขึ้นแบบสนุก ๆ ขำ ๆ โดยชาวบ้านในแถวนั้นจะมาร่วมสวดมนต์ และเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ มาราโดน่า กัน แต่ถึงจะตั้งแต่เอามันส์โบสถ์แห่งนี้เคยมีสมาชิกถึง 200 คนเลยทีเดียว
สัญลักษณ์แห่งยุค 80s
นอกจากในประเทศอาร์เจนติน่า ดีเอโก้ มาราโดนา ก็ยังเป็นนักกีฬาที่ดังที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยมีมาด้วย และได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 3 ของนักกีฬาที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุค 80 - 90 ร่วมกับ ไมค์ ไทสัน และ ไมเคิล จอร์แดน เป็นยุคที่ชาวโลกได้ชมฝีไม้ลายมือของนักกีฬาเหล่านี้กันด้วยตาของตัวเอง ผ่านการถ่ายนทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลก ไม่ใช่เพียงแค่ซึมซับความเก่งผ่านการอ่านเหมือนในยุคก่อน ๆ
เท่านั้น มาราโดนา, ไทสัน และ จอร์แดน กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเยี่ยมยอดในความทรงจำของคนยุค 80s ไปโดยปริยาย และทำให้พวกเขายังคงหาเงินหาทองจากภาพลักษณ์นักกีฬามาได้จนถึงปัจจุบัน
ตัวของ มาราโดน่า เองยังคงทำเงินจากการเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าต่าง ๆ มากมาย
มาตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่น รวมถึงการเซ็นสัญญากับ Puma และ Coca-Cola ในปี 1982 จนทำให้เขามีรายได้ในปีนั้นสูงถึง 1.5 ล้านเหรียญฯ ซึ่งเป็นปีที่ มาราโดน่า ได้ไปฟุตบอลโลกครั้งแรก
ก่อนจะเสียชีวิตแม้จะเลิกเล่นฟุตบอลมานานแล้ว มาราโดน่า ก็ยังรับทรัพย์จากงานพรีเซนเตอร์อย่างมหาศาล อย่างในปี 2010 เขาได้ร่วมถ่ายโฆษณาให้กับ Louis Vuitton ร่วมกับตำนานฟุตบอลต่างยุคอย่า เปเล่ และ เซเนดีน ซีดาน
ส่วนเมื่อปี 2006 มาราโดน่า ก็ยังข้ามประเทศไปถ่ายนโฆษณาน้ำดื่ม Guaraná Antarctica ของประเทศบราซิล โดยในโฆษณา มาราโดน่า ปรากฏตัวในชุดสีเหลืองของทีมชาติบราซิล ก่อนที่เขาจะพบตัวเองตื่นขึ้นมาบนเตียง และโล่งใจทันทีเมื่อเห็นว่าตัวเองยังใส่ชุดสีฟ้าขาวอยู่ ส่วนภาพที่ตนใส่ชุดทีมชาติบราซิลเป็นเพียงแฝันร้ายเท่านั้น
แม้จะแค่ขำ ๆ แต่แฟน ๆ ชาวอาร์เจนติน่า กลับไม่พอใจในโฆษณา (ที่ไม่ได้ไปฉายที่อาร์เจนติน่าอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำไป) และตัวของ มาราโดน่า ที่ยอมสวมเสื้อบราซิลที่เป็นคู่แข่งตลอดกาล แต่ มาราโดน่า บอกว่าเขาไม่เห็นจะรู้สึกอะไรกับการใส่เสื้อบราซิลเลย เทียบไม่ได้เลยกับเสื้อของ ริเวอร์เพลท ทีมฟุตบอลในอาร์เจนติน่าเอง ที่ในฐานะอดีตนักฟุตบอลของ โบค่า จูเนียร์ มาราโดน่า บอกว่าเขาจะไม่มีวันใส่เสื้อของ ริเวอร์เพลท อย่างแน่นอน
อันที่จริงแล้วแม้ มาราโดน่า จะเป็นคู่แข่งสำคัญของบราซิล แต่ประชาชน และแฟนบอลแซมบ้าจำนวนมากกลับไม่ได้เกลียดชังอะไรในตัวของ มาราโดน่า เลย มีข้อมูลด้วยซ้ำไปว่าชาวบราซิลจำนวนไม่น้อยที่ตั้งชื่อลูกชายตาม ดีเอโก มาราโดน่า รวมถึงนักฟุตบอลทีมชาติสเปนเชื้อสายบราซิลอย่าง ดีเอโก คอสต้า ก็ได้ชื่อนี้มาเพราะ ดีเอโก้ มาราโดน่า ด้วยเช่นเดียวกัน
มาราโดน่า บนแผ่นฟิล์ม และหน้ากระดาษ
ด้วยฝีเท้าระดับอัจฉริยะ, ชีวิตอันมีสีสัน และพฤติกรรมไม่น้อยที่เข้าข่ายอื้อฉาว ทำให้เรื่องราวของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ถูกเล่าผ่านแผ่นฟิล์มในรูปแบบภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง
ที่อาร์เจนติน่ามีหนังสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ออกมาชนิดนับไม่ถ้วน นอกจากนั้นในต่างประเทศก็ยังมีคนทำหนังที่พยายามเล่าเรื่องราวของ มาราโดน่า ในรูปแบบสารคดีมากมาย
รวมถึงหนังเรื่อง Diego Maradona ของผกก. ดัง อาซิฟ คาพาเดีย
ที่เน้นเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ มาราโดน่า
ต้องย้ายจากทีมใหญ่แห่งประเทศสเปนอย่าง บาร์เซโลนา
มาอยู่สโมสรที่เล็กกว่าอย่าง นาโปลี ในอิตาลี แต่สุดท้ายกลับสามารถพา
นาโปลี ครองแชมป์กัลโช่ ซีรี เอ ได้อย่างปาฏิหารณ์
ส่วนหนังที่ไม่ใช่สารคดีก็อยู่หลายเรื่อง รวมถึง Maradona, the Hand of God
หนังร่วมทุนสร้างอาร์เจนติน่า และอิตาลี ที่เล่าเรื่องตั้งแต่วัยเด็กของ
มาราโดน่า รวมถึงเหตุการณ์ "หัตถ์พระเจ้า" อันโด่งดังด้วย
ไม่เท่านั้นความดังระดับโลกของ มาราโดน่า ยังทำให้เขาปรากฏตัวอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นหลาย ๆ เรื่อง
แม้ข้อจำกัดเรื่องลิขสิทธิ์จะทำให้การ์ตูนเหล่านี้
ไม่ได้เขียนตัวละครออกมาเป็น “ดีเอโก้ มาราโดน่า” โดยตรง
แต่ถ้ามีตัวละครนักฟุตบอลชาวอาร์เจนติน่า โผล่เข้ามาในเรื่อง
ก็มักจะกลายเป็น “ร่างทรง” ของ มาราโดน่า ทุกครั้งไป ไม่ว่าจะเป็นตัวละครใน
“คาเสะ นักเตะจ้าวสนาม” หรือ “กัปตัน ซึบาสะเจ้าหนูสิงห์นักเตะ”
ก็มีตัวละครที่คล้าย ๆ มาราโดน่า อยู่ทั้งนั้น
โดยเฉพาะใน กัปตัน
ซึบาสะเจ้าหนูสิงห์นักเตะ ที่ไม่ใช่แค่ตัวละครที่ชื่อว่า “ฮวน ดิเอซ”
เท่านั้นที่ดูคล้าย ๆ มาราโดน่า อย่างเห็นได้ชัด แต่แม้ตัว ซึบาสะ
เองก็มีอะไรคล้าย ๆ กับ กัปตันทีมชาติอาร์เยนติน่า เหมือนกัน