ศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2020/21 นับถอยหลังระเบิดความมัน 12 กันยายน ซึ่งงวดนี้ เชลซี กลายเป็นทีมยักษ์ที่คู่ต่อกรทั้ง 19 ทีมต้องหวาดเกรง หลังยกสถานะตนเองเป็นผู้ท้าชิงแบบเต็มตัว จากการกว้านซื้อนักเตะฝีเท้าดีมาร่วมทีมมากที่สุดตั้งแต่วันที่ตลาดซื้อขายซัมเมอร์เปิดทำการ โดยมีบอร์ดบริหารหญิงยอดฝีมือจากรัสเซีย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการความสำเร็จนี้
เชลซี ฤดูนี้หว่านเงินไม่ยั้งกว่า 230 ล้านปอนด์ (ประมาณ 9,350 ล้านบาท) เชื้อเชิญยอดนักเตะรุ่นเล็ก-รุ่นใหญ่ สู่ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ไล่ตั้งแต่ ฮาคิม ซีเย็ค, เบน ชิลเวล, ทิโม แวร์เนอร์, ไค ฮาแวร์ตซ และสองแข้งกองหลังที่ได้ฟรีเพราะหมดสัญญาอย่าง มาลัง ซาร์ กับ ติอาโก ซิลวา เรียกว่าเสริมทัพอย่างน่ากลัวเกินใคร และทุกดีลที่ผ่านพ้นล้วนมาจากฝีมือของ มาริน่า กรานอฟสเกีย ผู้อำนวยการหญิงที่ดูแลการซื้อ-ขาย ด้วยตัวเอง
ในโลกของฟุตบอลที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงจะได้รับความสนใจจากสื่อหากเป็นคนหน้าตาดีมีเสน่ห์หรือขายความเซ็กซี่ แต่ไม่ใช่กับ มาริน่า กรานอฟสเกีย ที่ไม่เคยปล่อยให้เรื่องส่วนตัวปรากฏต่อสาธารณะ หน้าที่ของเธอคือนั่งตำแหน่งบริหารทีม “สิงห์บลูส์” ร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ และเดินทางไปเจรจาพูดคุยกับนักเตะฝีเท้าดีทั่วยุโรป หากทีมสตาฟฟ์และบอร์ดบริหารทุกคนมองเห็นว่าคุ้มค่าแก่การลงทุน
มาริน่า เป็นชาวรัสเซียนโดยกำเนิด จบการศึกษาปริญญาที่มหาวิทยาลัยมอสโก เกียรตินิยมภาษาต่างประเทศ ความรู้ที่ได้จากการเรียนนี้ทำให้เธอมีความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ รวมถึงแคนาดา และมีความรู้ด้านภาษายุโรปอื่นๆ หลังเรียนจบ มาริน่า สมัครเข้าทำงานบริษัท ซิปเน็ต กลุ่มทุนด้านน้ำมันของรัสเซียในปี 1997 ที่มี โรมัน อับราโมวิช เป็นเจ้าของ ก่อนใช้ความสามารถยกระดับตนเองขึ้นมาเป็นผู้ช่วยของ “เสี่ยหมี” ในเวลาไม่นาน
อับราโมวิช ให้ความวางใจ มาริน่า ในฐานะมือขวาและดูแลเรื่องทรัพย์สินผลประโยชน์ของครอบครัว สิ่งที่ทำให้เศรษฐีแดนหมีขาวชื่นชอบคือ มาริน่า มีวาทศิลป์ที่ดีเยี่ยม มีความสามารถด้านการเจรจา ทำให้ไม่ว่า อับราโมวิช จะเดินทางไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศครั้งใดก็จะพาเธอไปเป็นผู้ช่วยอยู่เสมอ แม้กระทั่งวันที่เข้าครอบครองกิจการทีมฟุตบอล เชลซี ปี 2003 มาริน่า ก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน และย้ายมาอยู่ที่ ลอนดอน เพื่อทำงานกับทีมเต็มตัว
เพราะความสามารถด้านเจรจาเป็นเลิศ มาริน่า จึงได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายดูแลซื้อขายนักเตะตั้งแต่ของทีม รวมถึงต่อสัญญากับนักเตะในทีม ผลงานโดดเด่นคือการโน้มน้าวให้ จอห์น เทอร์รี กองหลังตัวหลักอยู่กับทีมต่อ หลังจากเคยงอแงเมื่อปี 2006 เพราะอยากได้ค่าเหนื่อยเพิ่มจน มาริน่า ต้องแสดงความเด็ดขาดก่อนอดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ ต้องยอมต่อสัญญา “นายจะรับเงินค่าจ้างที่เราให้ หรือออกไปหาทีมอื่นที่อาจไม่มีเงินจ่ายให้คุณได้มากเท่านี้ล่ะ”
ไม่เพียงแค่เรื่องซื้อขาย หญิงแกร่งวัย 45 ขวบในปัจจุบัน ยังเคยเป็นกาวใจให้ อับราโมวิช และ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุกีส ที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่พักหนึ่งเมื่อปี 2013 จนกลับมาจับมือทำงานกันได้ เช่นเดียวกับการหาสปอนเซอร์ ปี 2016 เธอสามารถเจรจากับ ไนกี้ แบรนด์ยักษ์ใหญ่จากอเมริกา เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ระยะยาวจนถึงปี 2032 และได้เงินสนับสนุนปีละ 60 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,440 ล้านบาท)
ตัดภาพมาปี 2020 มาริน่า ทำผลงานเข้าตากรรมการอีกรอบด้วยการดึงสองนักเตะที่ทีมทั่วยุโรปต้องการตัวมากที่สุดอย่าง ทิโม แวร์เนอร์ กองหน้าจาก ไลป์ซิก และ ไค ฮาแวร์ตซ กองกลางของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ด้วยค่าตัว 48 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,955 ล้านบาท) และ 72 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,950 ล้านบาท) ตามลำดับ ปาดหน้าทีมที่เคยพัวพันอย่าง ลิเวอร์พูล แบบเซอร์ไพรส์ เพราะไม่บ่อยนักที่นักเตะจากเยอรมนี ย้ายมาทีมเดียวกันในตลาดซื้อขายช่วงเดียวกันอีก
เชลซี อาจมีประวัติศาสตร์และความสำเร็จดึงดูดให้ แวร์เนอร์ กับ ฮาแวร์ตซ ย้ายข้ามมา แต่หากไม่มี มาริน่า ลงมือเจรจาด้วยตัวเอง ไลป์ซิก และ เลเวอร์คูเซน คงไม่ปล่อย มีการเปิดเผยว่าด้วยความสัมพันธ์อันดีที่เธอสร้างไว้กับนานาทีมบุนเดสลีกา เมื่อตอนที่ซื้อ อังเดร ชูร์เล จาก “ห้างขายยา” ปี 2013 จนมีการนำไปบอกต่อในหมู่ทีมของลีกว่า เชลซี ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ทำให้ “สิงห์บลูส์” มีเครดิตน่าเชื่อถือในแวดวงลูกหนังเมืองเบียร์ว่าเป็นทีมที่น่าทำธุรกิจด้วย
แม้ต้องยอมรับว่าหลายดีลนักเตะที่ เชลซี ทุ่มเงินซื้อมามีทั้งสมหวัง เล่นคุ้มค่าตัว หรือน่าผิดหวังบ้างเป็นเรื่องธรรมชาติของการลงทุน อย่างไรก็ตาม มาริน่า ก็ได้รับเครดิตอย่างมากในฐานะหญิงแกร่งที่ช่วยขับเคลื่อนให้ยอดทีมแห่งกรุงลอนดอน เดินหน้ากลายเป็นทีมที่น่าเกรงขาม กล้าได้กล้าเสีย จนสาวก “เดอะ บลูส์” ยังช่วยกันส่งอีเมล์เรียกร้องให้ เสี่ยหมี ลงทุนสร้างรูปปั้นหน้าสนามเพื่อสดุดี
สำหรับ เชลซี มีโปรแกรมเปิดซีซั่น ไปเยือน ไบรธ์ตัน วันที่ 15 กันยายน เป็นที่น่าสนใจมากว่า แฟรงค์ แลมพาร์ด กุนซือ รวมถึงทีมนักเตะทั้งหมดและเหล่าหน้าใหม่ทั้ง 6 ราย จะแผลงฤทธิ์บนฟลอร์หญ้าได้ไฉไลเพียงใด ซึ่งหากฤดูกาลนี้จบลงด้วยการมีถ้วยแชมป์ติดไม้ติดมือทั้งรายการในประเทศ หรือยุโรป มาริน่า เจ้าของฉายาที่ ฟอร์บส ตั้งให้ว่า “หญิงผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการกีฬาโลก” ก็สมควรได้รับเครดิตและเหรียญรางวัลด้วยอย่างไร้ข้อกังขา