คอลัมน์ สกอร์บอร์ด โดย แมวดำ
นับตั้งแต่การคว้าแชมป์ลีกคัพ 2017 (พ.ศ.2560) และแชมป์ถ้วยพระราชทาน ก ในปีเดียวกันของ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แม้ฤดูกาลนั้นจะจบด้วยการคว้ารองแชมป์ไทยลีก และเอฟเอ คัพ ก็ไปไกลถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย แต่หลังจากนั้นอีก 2 ฤดูกาลถัดมา "กิเลนผยอง" ก็ไม่มีโอกาสได้ "ผยอง" อีกต่อไป
มันเหมือนการเปลี่ยนแปลงที่ทุกสโมสรจำเป็นต้องเปลี่ยนไป เพื่อมองหาทางอยู่รอด เพื่อก้าวและพัฒนาต่อไป ซึ่งผู้บริหาร เมืองทอง เองก็มองเห็น และพยายามหาแนวทางที่ทีมจะยิ่งใหญ่โดยไม่จำเป็นต้องทุ่มเทงบประมาณเหมือนทีมใหญ่อื่นๆ ระหว่างปี 2561-2563 มีการเปลี่ยนหัวหน้าผู้ฝึกสอนถึง 5 ราย จาก "โค้ชแบน" ธชตวัน ศรีปาณ, ราโดวาน เคอร์ซิซ, "โค้ชเบ๊" ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก, ยุน จง ฮวาน จนมาถึง อเล็กซานเดร กาม่า ในปัจจุบัน โดยในรายของ กาม่า นั้นมาฉุด เมืองทอง ขึ้นจากโซนตกชั้นจบอันดับ 6 ของตารางได้อย่างเหลือเชื่อ
เมื่อเจอโค้ชที่ใช่แล้ว แผนการสู่ความสำเร็จมันก็ต้องใช่ด้วย จะเห็นได้ว่า เมืองทอง พ.ศ. 2563 นั้นเปลี่ยนแปลงทีมขนานใหญ่ เมื่อผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ขาแบก รวมถึงตัวหลัก และตัวทีเด็ด ตบเท้าออกจากทีม อาทิ เฮเบร์ตี้, อดิศักดิ์ ไกรษร, เจนรบ เสาเภาดี ไปร่วมทีม การท่าเรือ เอฟซี, ธีรศิลป์ แดงดา คืนสู่เจลีก กับ ชิมิสุ เอสพัลส์ ขณะที่ สารัช อยู่เย็น กลายเป็นขาใหญ่คุมแผงกลางของทีม คอยประคองผู้เล่นดาวรุ่งที่ถูกผลักดันมาสู่ทีมากขึ้น
แต่ด้วยนโยบายลดค่าเหนื่อยของดาวดังลง 30% ที่ออกจากปากผู้บริหาร มันชัดเจนว่า สารัช จะไม่ได้อยู่กับทีมต่อ หากมีข้อเสนอที่ดีจากทีมในเจลีก หรือลีกอาเซียน และแม้แต่ไทยลีก หากว่ามันเป็นเรื่องของการทำธุรกิจที่ดี นั่นหมายความว่า เมืองทอง เองก็จะกลายเป็นทีมที่มีแต่ดาวรุ่งอายุน้อย ฝีเท้าดีอัดแน่น แน่นอนว่ามันไม่ถูกใจแฟนบอลหรอกครับที่ปล่อยตัวนักเตะชื่อเสียงดีออกไป แต่ต้องเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องของธุรกิจ และเป็นอนาคตของผู้เล่นด้วย มองให้ดี มองให้ชัด แล้วจะเห็นว่านักเตะที่ได้ไปเจลีก ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นนักเตะเมืองทอง แทบทั้งนั้น มีเพียงแค่ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ เท่านั้นที่เป็นสมาชิกของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด มันแสดงให้เห็นถึงความใจกว้างไม่ปิดโอกาสพัฒนานักเตะของผู้บริหารทีมโดยแท้
หลังการปล่อยผู้เล่นออกไปขนานใหญ่ ฤดูกาล 2020 ของศึกไทยลีก แม้ว่าจะผ่านมาแค่เพียง 4 นัด เมืองทอง ยุคใหม่ที่มี ลูคัส ดา ซิลวา กองหลังชาวบราซิล, มีร์ซาเยฟ ซาร์ดอร์ จอมทัพ อุซเบกิสถาน, แดร์เลย์ กองหน้าชาวบราซิล ที่กดไปแล้ว 3 ประตูจาก 4 นัด ผนึกกำลังกับ กรวิชญ์ ทะสา, ศฤงคาร พรมสุภะ, วีระเทพ ป้อมพันธุ์, สหรัฐ กันยะโรจน์, วัฒนากรณ์ สวัสดิ์ละคร, เพชรรัตน์ โชติปาละ, ซัลดี้ วงษ์เดอรี และ วัฒนา หลายนุ่ม ฯลฯ
ผลงาน 2 นัดแรก แพ้ให้กับทีม บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 2-1 และ แพ้ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด 1-2 ก่อนจะกลับมาเอาชนะ ระยอง เอฟซี 0-3 และ ชนะ ชลบุรี เอฟซี 1-0 มี 6 คะแนน แต่มันก็แสดงให้เห็นว่า กาม่า กำลังตบแต่งทีมของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้น น่าเสียดายที่เกิดวิกฤติไวรัสขึ้นเสียก่อน แต่มันค่อนข้างชัดว่าทีม เมืองทอง กำลังเดินสู่แนวทางใหม่ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นดาวรุ่งขึ้นมามีบทบาทมากขึ้นแตกต่างจากครั้งอดีตที่มักปล่อยดาวรุ่งฝีเท้าดีไปแจ้งเกิดกับทีมอื่น
ลองดูรายชื่ออดีตนักเตะเมืองทองที่ตอนนี้กลายเป็นสตาร์ทีมอื่นสิครับ ชัยวัฒน์ บุราณ (สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด), ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด), พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี (สมุทรปราการ ซิตี้), พิชา อุทรา (สมุทรปราการ ซิตี้), ศิวกรณ์ เตียตระกูล (สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด), พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล (สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด) เท่าที่นึกออกนะครับ อาจจะมีที่ผมจำไม่ได้อีก ลองคิดดูหากว่า เมืองทอง กำลังเดินมาถูกทาง ปั้นนักเตะดาวรุ่ง หรือดึงตัวพวกแววดีราคาไม่แพงมาเมื่อเล่นดีแล้วค่อยปล่อยตัวในมูลค่าสูง มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกับผลงาน และสตางค์ที่จะเข้าทีม เพียงแต่ความสำเร็จนั้นต้องใช้เวลา แฟนๆ รอกันได้ไหมครับ