คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
สหสมาคมฟุตบอลยุโรป หรือ ยูเอ๊ฟฟ่า กำลังมุ่งหน้าปรับปรุงรูปแบบการแข่งขันฟุตบอลสโมสรถ้วยใหญ่ของทวีปให้เป็นรายการที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ตื่นตา น่าดูยิ่งขึ้น โดยต้องการกันพื้นที่ในรอบแบ่งกลุ่มเอาไว้ให้กับสโมสรยักษ์ใหญ่มากขึ้น นอกจากนั้น ยังงัดระบบทางผ่านพิเศษ หรือ วายล์ด-ค้าร์ด (wild-card) มาให้สิทธิ์สโมสรดังที่วืดโควต้าเพราะจบฤดูกาลไม่สวยจนหลุดตำแหน่งไปได้กลับเข้าร่วมแข่งขันในฐานะแขกรับเชิญอีกด้วย ซึ่งมีกำหนดเริ่มใช้ในฤดูกาล 2017-2018
ผมอยากเล่าถึงวิวัฒนาการตั้งแต่ฤดูกาลแรกในปี 1955 จนมาถึงปัจจุบันนั้น ยูเอ๊ฟฟ่า ได้ใช้รูปแบบการแข่งขันอย่างไรกันบ้าง แรกเริ่มเดิมที ยูเอ๊ฟฟ่า ให้สิทธิ์แค่ทีมเดียวที่เป็นแช้มพ์ลีกสูงสุดของแต่ละประเทศเท่านั้น แต่ละชาติก็จะมีสุดยอดสโมสรเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่ได้เข้ามาประชันกันในรายการนี้ ตอนนั้นมีกติกาให้ทีมแช้มพ์เก่าที่ได้สิทธิ์เข้ามาป้องกันแช้มพ์ด้วย แต่ในฤดูกาลแรกนี้ บางชาติก็ยังส่งทีมที่ไม่ใช้แช้มพ์ลีกสูงสุดเข้ามาร่วมแข่งอยู่ดี
ช่วงแรกยังใช้ ระบบน้อค-เอ๊าท์ ตั้งแต่รอบแรกไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ เมื่อเกิดแช้มพ์ขึ้นแล้ว ในการแข่งขันปี 1956-1959 ยูเอ๊ฟฟ่า ก็ให้ทีมรองแช้มพ์ลีกสูงสุดของชาตินั้นได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งด้วย รูปแบบดั้งเดิมนั้นดำเนินมาตั้ง 35 ปี จึงค่อยเริ่มคิดปรับปรุงใหม่ โดยตั้งแต่ฤดูกาล 1991-92 ทีมที่ผ่านรอบ น้อค-เอ๊าท์ 2 รอบมาได้ก็เข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม 2 กลุ่ม แล้วเอาแช้มพ์กลุ่มมาชิงชนะเลิศกันเลย
ฤดูกาล 1992-93 มีทีมใหม่ๆเข้าร่วมแข่งเยอะเนื่องจาก สหภาพโซเวียต และ ยูโกสลาเวีย แตกกระจายเป็นหลายชาติ จึงต้องจัดให้มี รอบคัดเลือก แบบน้อค-เอ๊าท์ เพิ่มขึ้นมาเพื่อหาทีมที่จะได้สิทธิ์ประกบคู่ในรอบแรก พอถึงฤดูกาลถัดมาจึงเพิ่มให้มี รอบรองชนะเลิศ แบบน้อค-เอ๊าท์ โดยนำ แช้มพ์กลุ่ม กับ รองแช้มพ์กลุ่ม มาไขว้เจอกันเพื่อหาคู่ชิงชนะเลิศ
ในปี 1994 ยังได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันชาติละ 1 ทีม รวมทั้งแช้มพ์เก่าด้วย ถึงตอนนี้การแข่งขันเปลี่ยนเป็น รอบคัดเลือก เพื่อหาทีมเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มซึ่งขยายเป็น 4 กลุ่ม ทีมที่ผ่านรอบนี้ก็ได้เข้าสู่รอบ 8 ทีม ใช้ระบบน้อค-เอ๊าท์ ไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ
ฤดูกาล 1997-98 เป็นปีแรกที่ให้สิทธิ์ 8 ชาติชั้นนำคือ เจอรมานี อังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ส อิตาลี ปอรตูเกา สเปน และตุรกี ส่งได้ 2 ทีม ทำให้มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 55 ทีม รอบคัดเลือกจึงต้องมี 2 รอบ เพื่อหา 24 ทีมเข้าสู่ รอบแบ่งกลุ่มที่เพิ่มเป็น 6 กลุ่ม ให้ แช้มพ์กลุ่ม กับ รองแช้มพ์กลุ่มที่ดีที่สุด อีก 2 ทีมเข้าสู่ รอบน้อค-เอ๊าท์ 8 ทีม
ในปี 1999 เริ่มให้ชาติที่มีคะแนนที่คิดจากค่าสัมประสิทธิ์อยู่ลำดับต้นๆส่งได้มากถึง 4 ทีม มีทีมเข้าร่วมแข่งถึง 71 ทีม ต้องจัด รอบคัดเลือก 3 รอบ เพื่อคัดเอา 32 ทีมมาเข้า รอบแบ่งกลุ่ม 8 กลุ่ม โดย 2 อันดับแรกได้ผ่านเข้าสู่ รอบแบ่งกลุ่ม รอบที่ 2 ซึ่งมี 4 กลุ่ม แล้วให้ 2 อันดับแรกเข้าสู่ รอบน้อค-เอ๊าท์ 8 ทีมต่อไป รูปแบบของฤดูกาลนั้น ทีมที่ตกรอบแบ่งกลุ่มที่มี 8 กลุ่ม แต่จบอันดับที่ 3 ยังได้สิทธิ์ไปร่วมเตะกันต่อใน ยูเอ๊ฟฟ่า คัพ รอบที่ 3 ด้วย
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2003 เป็นต้นมา ถูกปรับเปลี่ยนเป็นทีมที่ได้ 2 อันดับแรกของรอบแบ่งกลุ่ม 8 กลุ่มนั้นจะเข้าสู่รอบ 16 ทีมเลย และใช้ระบบ น้อค-เอ๊าท์ ไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ และนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009-10 หลังจากเตะรอบคัดเลือก 3 รอบแล้วยังมี รอบเพลย์-อ๊อฟ ขึ้นมาอีก โดยจัดแบ่งเป็นกลุ่มของ ทีมแช้มพ์ แยกกับ กลุ่มของทีมที่ไม่ได้แช้มพ์ในลีกของชาติตน ซึ่งแต่ละกลุ่มยังจัดให้ ทีมวาง เจอกับทีมไม่วางอีก จนได้ทีมที่ผ่านเข้าไปเล่นใน รอบแบ่งกลุ่ม 8 กลุ่ม
รูปแบบใหม่ของ ยูเอ๊ฟฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นี้ จะมีผลให้ทีมสโมสรยักษ์ใหญ่จากชาติชั้นนำทางด้านฟุตบอลได้เข้ามาร่วมการแข่งขันมากขึ้น ในขณะที่ทีมเห่ยๆจากชาติเล็กๆคงจะมีโอกาสน้อยลงมากที่จะเข้ามาเป็นทีมทางผ่านหรือแค่รอรับการถล่มแหลกจากทีมยักษ์ให้เห็นอีกต่อไป ทั้งนี้ ก็เพื่อให้การแข่งขันมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น คับคั่งไปด้วยทีมดังๆ อันจะนำมาซึ่งผู้ชมที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดย ยูเอ๊ฟฟ่า เห็นว่าน่าจะเป็นผลดีต่อการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ซึ่งก็จะเชื่อมโยงไปถึงค่าลิขสิทธิ์ที่ ยูเอ๊ฟฟ่า จะได้รับ อย่างไรก็ตาม ชาติที่ไม่ได้ติดอยู่ใน 4 อันดับแรกมองว่ารูปแบบใหม่จะเป็นการถอยหลังลงคลอง และที่สำคัญเป็นการทำลายโอกาสของทีมสโมสรจากชาติเล็กๆ ที่จะพัฒนาเติบโตต่อไปในอนาคต
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
สหสมาคมฟุตบอลยุโรป หรือ ยูเอ๊ฟฟ่า กำลังมุ่งหน้าปรับปรุงรูปแบบการแข่งขันฟุตบอลสโมสรถ้วยใหญ่ของทวีปให้เป็นรายการที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ตื่นตา น่าดูยิ่งขึ้น โดยต้องการกันพื้นที่ในรอบแบ่งกลุ่มเอาไว้ให้กับสโมสรยักษ์ใหญ่มากขึ้น นอกจากนั้น ยังงัดระบบทางผ่านพิเศษ หรือ วายล์ด-ค้าร์ด (wild-card) มาให้สิทธิ์สโมสรดังที่วืดโควต้าเพราะจบฤดูกาลไม่สวยจนหลุดตำแหน่งไปได้กลับเข้าร่วมแข่งขันในฐานะแขกรับเชิญอีกด้วย ซึ่งมีกำหนดเริ่มใช้ในฤดูกาล 2017-2018
ผมอยากเล่าถึงวิวัฒนาการตั้งแต่ฤดูกาลแรกในปี 1955 จนมาถึงปัจจุบันนั้น ยูเอ๊ฟฟ่า ได้ใช้รูปแบบการแข่งขันอย่างไรกันบ้าง แรกเริ่มเดิมที ยูเอ๊ฟฟ่า ให้สิทธิ์แค่ทีมเดียวที่เป็นแช้มพ์ลีกสูงสุดของแต่ละประเทศเท่านั้น แต่ละชาติก็จะมีสุดยอดสโมสรเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่ได้เข้ามาประชันกันในรายการนี้ ตอนนั้นมีกติกาให้ทีมแช้มพ์เก่าที่ได้สิทธิ์เข้ามาป้องกันแช้มพ์ด้วย แต่ในฤดูกาลแรกนี้ บางชาติก็ยังส่งทีมที่ไม่ใช้แช้มพ์ลีกสูงสุดเข้ามาร่วมแข่งอยู่ดี
ช่วงแรกยังใช้ ระบบน้อค-เอ๊าท์ ตั้งแต่รอบแรกไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ เมื่อเกิดแช้มพ์ขึ้นแล้ว ในการแข่งขันปี 1956-1959 ยูเอ๊ฟฟ่า ก็ให้ทีมรองแช้มพ์ลีกสูงสุดของชาตินั้นได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งด้วย รูปแบบดั้งเดิมนั้นดำเนินมาตั้ง 35 ปี จึงค่อยเริ่มคิดปรับปรุงใหม่ โดยตั้งแต่ฤดูกาล 1991-92 ทีมที่ผ่านรอบ น้อค-เอ๊าท์ 2 รอบมาได้ก็เข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม 2 กลุ่ม แล้วเอาแช้มพ์กลุ่มมาชิงชนะเลิศกันเลย
ฤดูกาล 1992-93 มีทีมใหม่ๆเข้าร่วมแข่งเยอะเนื่องจาก สหภาพโซเวียต และ ยูโกสลาเวีย แตกกระจายเป็นหลายชาติ จึงต้องจัดให้มี รอบคัดเลือก แบบน้อค-เอ๊าท์ เพิ่มขึ้นมาเพื่อหาทีมที่จะได้สิทธิ์ประกบคู่ในรอบแรก พอถึงฤดูกาลถัดมาจึงเพิ่มให้มี รอบรองชนะเลิศ แบบน้อค-เอ๊าท์ โดยนำ แช้มพ์กลุ่ม กับ รองแช้มพ์กลุ่ม มาไขว้เจอกันเพื่อหาคู่ชิงชนะเลิศ
ในปี 1994 ยังได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันชาติละ 1 ทีม รวมทั้งแช้มพ์เก่าด้วย ถึงตอนนี้การแข่งขันเปลี่ยนเป็น รอบคัดเลือก เพื่อหาทีมเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มซึ่งขยายเป็น 4 กลุ่ม ทีมที่ผ่านรอบนี้ก็ได้เข้าสู่รอบ 8 ทีม ใช้ระบบน้อค-เอ๊าท์ ไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ
ฤดูกาล 1997-98 เป็นปีแรกที่ให้สิทธิ์ 8 ชาติชั้นนำคือ เจอรมานี อังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ส อิตาลี ปอรตูเกา สเปน และตุรกี ส่งได้ 2 ทีม ทำให้มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 55 ทีม รอบคัดเลือกจึงต้องมี 2 รอบ เพื่อหา 24 ทีมเข้าสู่ รอบแบ่งกลุ่มที่เพิ่มเป็น 6 กลุ่ม ให้ แช้มพ์กลุ่ม กับ รองแช้มพ์กลุ่มที่ดีที่สุด อีก 2 ทีมเข้าสู่ รอบน้อค-เอ๊าท์ 8 ทีม
ในปี 1999 เริ่มให้ชาติที่มีคะแนนที่คิดจากค่าสัมประสิทธิ์อยู่ลำดับต้นๆส่งได้มากถึง 4 ทีม มีทีมเข้าร่วมแข่งถึง 71 ทีม ต้องจัด รอบคัดเลือก 3 รอบ เพื่อคัดเอา 32 ทีมมาเข้า รอบแบ่งกลุ่ม 8 กลุ่ม โดย 2 อันดับแรกได้ผ่านเข้าสู่ รอบแบ่งกลุ่ม รอบที่ 2 ซึ่งมี 4 กลุ่ม แล้วให้ 2 อันดับแรกเข้าสู่ รอบน้อค-เอ๊าท์ 8 ทีมต่อไป รูปแบบของฤดูกาลนั้น ทีมที่ตกรอบแบ่งกลุ่มที่มี 8 กลุ่ม แต่จบอันดับที่ 3 ยังได้สิทธิ์ไปร่วมเตะกันต่อใน ยูเอ๊ฟฟ่า คัพ รอบที่ 3 ด้วย
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2003 เป็นต้นมา ถูกปรับเปลี่ยนเป็นทีมที่ได้ 2 อันดับแรกของรอบแบ่งกลุ่ม 8 กลุ่มนั้นจะเข้าสู่รอบ 16 ทีมเลย และใช้ระบบ น้อค-เอ๊าท์ ไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ และนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009-10 หลังจากเตะรอบคัดเลือก 3 รอบแล้วยังมี รอบเพลย์-อ๊อฟ ขึ้นมาอีก โดยจัดแบ่งเป็นกลุ่มของ ทีมแช้มพ์ แยกกับ กลุ่มของทีมที่ไม่ได้แช้มพ์ในลีกของชาติตน ซึ่งแต่ละกลุ่มยังจัดให้ ทีมวาง เจอกับทีมไม่วางอีก จนได้ทีมที่ผ่านเข้าไปเล่นใน รอบแบ่งกลุ่ม 8 กลุ่ม
รูปแบบใหม่ของ ยูเอ๊ฟฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นี้ จะมีผลให้ทีมสโมสรยักษ์ใหญ่จากชาติชั้นนำทางด้านฟุตบอลได้เข้ามาร่วมการแข่งขันมากขึ้น ในขณะที่ทีมเห่ยๆจากชาติเล็กๆคงจะมีโอกาสน้อยลงมากที่จะเข้ามาเป็นทีมทางผ่านหรือแค่รอรับการถล่มแหลกจากทีมยักษ์ให้เห็นอีกต่อไป ทั้งนี้ ก็เพื่อให้การแข่งขันมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น คับคั่งไปด้วยทีมดังๆ อันจะนำมาซึ่งผู้ชมที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดย ยูเอ๊ฟฟ่า เห็นว่าน่าจะเป็นผลดีต่อการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ซึ่งก็จะเชื่อมโยงไปถึงค่าลิขสิทธิ์ที่ ยูเอ๊ฟฟ่า จะได้รับ อย่างไรก็ตาม ชาติที่ไม่ได้ติดอยู่ใน 4 อันดับแรกมองว่ารูปแบบใหม่จะเป็นการถอยหลังลงคลอง และที่สำคัญเป็นการทำลายโอกาสของทีมสโมสรจากชาติเล็กๆ ที่จะพัฒนาเติบโตต่อไปในอนาคต
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *