เอเยนซี - ผลจับสลากแบ่งสายศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน “ซูซูกิ คัพ 2016” ออกมาแล้ว โดย “ช้างศึก” ทีมชาติไทย อยู่สาย เอ ร่วมกับ ฟิลิปปินส์ (เจ้าภาพกลุ่ม), สิงคโปร์ และ อินโดนีเซีย ฟาดแข้งวันที่ 19 พฤศจิกายน - 17 ธันวาคมนี้ ซึ่ง ESPN FC ได้ยก 5 ไฮไลต์ที่น่าจับตาก่อนเปิดฉากทัวร์นาเมนท์มาให้ได้ทราบ
“ไทย - สิงคโปร์” ลุ้นแชมป์สมัยที่ 5 : หลังจากที่โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมและยังอยู่ในเส้นทางศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ส่งให้ตอนนี้ ทีมชาติไทย กลายเป็นเจ้าอาเซียน ทว่า ยังไม่สามารถพูดได้เต็มปาก เพราะสถิติในรายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ยังคว้าแชมป์เท่ากับ สิงคโปร์ ที่ 4 สมัย
สิงคโปร์ คว้าชัยปี 1998, 2004, 2007 และ 2012 ซึ่งนับเป็นการครองโทรฟี 3 จาก 6 ครั้งหลังสุด ส่วนไทย คว้าได้ครั้งเดียวในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เบ็ดเสร็จได้ในปี 1996, 2000. 2002, และ 2014 ซึ่งทัพ “เมอร์ ไลออน” ภายใต้การคุมบังเหียนของ ราดอจโก อัฟราโมวิช กุนซือชาวเซิร์บ ได้สร้างความเกรงกลัวให้คู่ต่อสู้หลังเป็นผู้นำทีมคว้าแชมป์รายการนี้ได้ถึง 3 สมัย แต่ในครั้งนี้ วาราดาราจู ซันดรามอร์ธี เฮดโค้ชคนปัจจุบัน ต้องเผชิญหน้ากับ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือซูเปอร์สตาร์ของทีมชาติไทย โดยเจ้าตัวได้วางแผนอุ่นเครื่อง 6 เกม ภายใน 3 เดือนจากนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ซึ่งทั้งสองทีมอยู่ในสายเดียวกัน
“อินโด” คัมแบ็กหลังโดนแบน : อินโดนีเซีย ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันใด ๆ เลยนับตั้งแต่โดน สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) ลงดาบแบนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลของประเทศเข้ามาแทรกแซงการจัดการด้านฟุตบอล ซึ่งทำให้พลาดลงเล่นรอบคัดเลือก รายการ ฟุตบอลโลก 2018 และเอเชียน คัพ 2019
ซูซูกิ คัพ ครั้งนี้จะเป็นการกลับมาคุมทัพ “อิเหนา” อีกครั้งของ อัลเฟรด ไรเดิล กุนซือชาวออสเตรีย ผู้เคยพาทีมคว้ารองแชมป์ปี 2010 พร้อมอุดมไปด้วยสตาร์ดังอย่าง อิวาน ดิมาส, อันดิค เวอร์มานซาห์, มูคริส ฮาดี นิง และ อิรฟาน บัชดิม ปีกลูกครึ่งเนเธอร์แลนด์ ที่ปัจจุบันเล่นใน เจ-2 ญี่ปุ่น พร้อมกันนี้ ด้วยประสบการณ์คว้ารองแชมป์ถึง 4 ครั้ง (2000, 2002, 2004 และ 2010) ทำให้อาจถึงเวลาที่ อินโดนีเซีย จะขยับสู่ก้าวที่ใหญ่ขึ้น
“เสือเหลือง” ลุ้นเซอร์ไพรส์ : มาเลเซีย คว้าแชมป์รายการนี้ได้ครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อปี 2010 ภายใต้การคุมทีมของ ดาโต๊ะ กฤษณสมี ราชโคปาล ก่อนที่ ดอลลาห์ ซัลเลห์ จะพาทีมเข้าถึงรอบชิงฯอีกครั้งในสมัยที่แล้ว แต่คว้าเพียงรองแชมป์ด้วยการพ่ายต่อทีมชาติไทย สกอร์รวม 3-4 แต่จากนั้นผลงานดูเหมือนจะถอยลงคลอง หลังปราชัยสุดอัปยศต่อ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) 0-10 และปาเลสไตน์ 0-6 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก ครั้งล่าสุด ที่ฟาดแข้งเมื่อปี 2015
ออง คิม สวี กุนซือคนใหม่ หวังที่จะเข้ามาสร้างทีมให้ดีขึ้น แต่เจอปัญหาเมื่อแข้งหลักจากสโมสร ยะโฮร์ ดารุล ตาซิม พร้อมใจกันประกาศเลิกเล่นทีมชาติ นำโดย ซาฟิค ราฮีม เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่ง, สุบรามาเนียม คุนันลัน ปีกขวา, ไอดิล ซาฟวน กองหลัง และ อมิรุล ฮาดี ไซนัล มิดฟิลด์ ทำให้ตอนนี้ต้องหันมาใช้แกนหลักเป็นแข้งลูกครึ่งที่เกิดต่างแดน อาทิ จูเนียร์ เอลด์สตัล (สวีเดน), เบรนแดน แกน (ออสเตรเลีย) และ แมทธิว เดวีส (ออสเตรเลีย) นอกจากนี้ยังมี อดัม นอร์ อัซลิน วันเดอร์คิดจากทีมเซลังงอร์ และดาวรุ่งคนอื่น ๆ คอยสนับสนุน โดย มาเลเซีย อยู่กลุ่ม บี ร่วมกับ เมียนมา (เจ้าภาพกลุ่ม), เวียดนาม และแชมป์จากรอบคัดเลือก
จับตา “ชาริล ชัปปุยส์” : ลูกครึ่งไทย - สวิส เป็นกำลังสำคัญร่วมกับ “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์, เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ และ สารัช อยู่เย็น นำทีมชาติไทยคว้าแชมป์เมื่อ 2 ปีก่อน แต่อาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ทำให้แข้งจากสโมสร สุพรรณบุรี เอฟซี ร้างสนามไปนาน 18 เดือน และเพิ่งกลับมาลงสนามเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งพลังในการขับเคลื่อนแดนกลางของ ชัปปุยส์ เป็นศูนย์กลางของเกมรุกและการต่อบอลอันไหลลื่นให้กับทีมไทย และมีการคาดการณ์ว่าเจ้าตัวจะมีชื่อติดทัพ “ช้างศึก” ในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก เดือนกันยายน
ทว่า การแจ้งเกิดขึ้นมาของคลื่นลูกใหม่อย่าง เชาว์วัฒน์ วีระชาติ, ธนาสิทธิ์ ศิริผลา และ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ อาจจะไม่การันตีตำแหน่งตัวจริงของชัปปุยส์ แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือ ว่าจะให้โอกาส อดีตแข้งทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ยู-19 กลับมามีชื่อติดธงในรอบแบ่งกลุ่ม ซูซูกิ คัพ ครั้งนี้หรือไม่
4 แข้งลอดช่อง ลุ้นสร้างประวัติศาสตร์ : แบรนด์ สเตนจ์ อดีตโค้ชชาวเยอรมันของสิงคโปร์ มีนโยบายให้โอกาสดาวรุ่งเป็นตัวเลือกแรกเมื่อครั้งมารับตำแหน่งในปี 2013 แต่งยังไว้วางใจ ดาเนียล เบนเน็ตต์ และ มุสตาฟิค ฟาห์รูดิน สองแข้งเก๋ารวมอยู่ด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกตัดออกจากทีมชาติหลังทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แม้จะเพิ่งพาทีมคว้าอันดับ 4 ในรายการนี้เมื่อครั้งที่แล้วก็ตาม
หลังผ่านไป 3 ปี วาราดาราจู ซันดรามอร์ธี ได้เรียก เบนเน็ตต์ วัย 38 ปี กลับมาติดธงอีกครั้ง หลังโชว์พลังป้องกันอันแข็งแกร่งให้กับเกมรับของทีม เกลัง อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งหากเจ้าตัวมีชื่อติดทีมใน ซูซูกิ คัพ ครั้งนี้ จะได้ลุ้นสร้างประวัติศาสตร์เป็น 4 แข้งที่คว้าแชมป์อาเซียนได้ถึง 4 สมัย ร่วมกับ ชาห์ริล อิชัค, คารุล อัมริ และไบฮัคกี ไคห์ซาน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บุกไปปราชัยต่อ กัมพูชา อย่างน่าเหลือเชื่อ 1-2 ในเกมอุ่นเครื่องเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาตระหนักดีว่าจะต้องทำงานให้หนักขึ้นตั้งแต่ตอนนี้ถึงเดือนพฤศจิกายน
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *