เอเยนซี - ซัมเมอร์นี้ขณะที่บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่เสริมทัพกันอย่างโครมคราม เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ประกาศจุดยืนชัดเจนไม่ต้องการแข้งระดับ “บิ๊กเนม” โดยเซ็นแพงสุด ก็คือ ซาดิโอ มาเน แนวรุกทีมชาติเซเนกัล จาก เซาแธมป์ตัน ค่าตัว 34 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,700 ล้านบาท) ซึ่งแน่นอนว่า สร้างความหวั่นใจให้สาวก “เดอะ ค็อป” ไม่มากก็น้อย
ปีที่แล้ว คล็อปป์ เข้ามาคุมถิ่น แอนฟิลด์ ช่วงเดือนตุลาคม ดังนั้น จึงไม่อาจคาดหวังความสำเร็จได้มากนัก ผิดกับปีหน้านี้ที่ต้องมีอะไรจับต้องได้ เพราะ ลิเวอร์พูล คือทีมใหญ่ ทำให้ “FourFourTwo” วิเคราะห์ 8 สิ่งที่จำต้องปรับปรุงหากอยากได้แชมป์ในฤดูกาลใหม่ ที่กำลังจะเปิดฉากกลางเดือนสิงหาคมนี้
1. ไม่ได้เล่นถ้วยยุโรป - คล็อปป์ ต้องใช้ประโยชน์ตรงจุดนี้ไร้บดบี้คู่แข่งที่กำลังอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากการลงเล่น ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รวมถึง ยูโรปา ลีก ช่วงกลางสัปดาห์ โดยเมื่อปีที่แล้ว ลิเวอร์พูล จบอันดับ 8 ทำให้ฤดูกาลที่จะถึงนี้มีเวลา 6 วันต่อสัปดาห์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแมตช์ตรงหน้า จนบางครั้งสามารถที่จะลงซ้อม 2 ช่วงต่อวันได้แบบสบาย ๆ ขณะที่ทีมอื่นนั้นทำไม่ได้
2. ปลุกจิตวิญญาณ - โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ห่างหายจากแชมป์มาตั้งแต่ปี 2002 ซึ่ง คล็อปป์ เป็นคนเข้ามาปลุกทีมให้ขึ้นมาต่อกรกับ บาเยิร์น มิวนิก จนคว้าถาดแชมป์มาครอง 2 ฤดูกาลติดต่อกัน คือ 2010-11 กับ 2011-12 แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรใหญ่ที่มีศักยภาพเพียบพร้อมเคยเป็นแชมป์มาแล้วและจะต้องเป็นแชมป์อีกครั้ง
3. ลืม SAS - ฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูล มี 2 กองหน้าฝีเท้าจัด หลุยส์ ซัวเรซ กับ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่ซัดไปรวมกันในลีก 52 ประตู แต่ก็ไม่อาจไปถึงแชมป์ลีก โดยแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี 2 แต้ม ดังนั้น ตอนนี้ต้องเป็น SAM หรือ สเตอร์ริดจ์ กับ มาเน แนวรุกชาวเซเนกัล ที่เพิ่งถอยมาใหม่จาก เซาแธมป์ตัน ที่ปีที่แล้วซัดไป 11 ประตูในลีก โดยจะเข้ามาเพิ่มมิติในแนวรุก “หงส์แดง”
4. ก้าวผ่านความกลัว - เกือบทศวรรษหลัง ลิเวอร์พูล แพ้นัดชิง ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก แก่ เอซี มิลาน 1-2 ล่าสุดคือ แพ้ เซบีญา นัดชิง ยูโรปา ลีก เมื่อปีที่แล้ว 1-3 ยังมีอีกหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นการตกรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เสียท่าแก่ แอสตัน วิลลา 1-2 ปี 2015 และแชมป์ลีก ที่ถูก แมนฯซิตี ปาดหน้าเข้าป้ายปี 2014 ดังนั้น เห็นได้ชัดว่าอีกก้าวเดียวก็จะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว
5. ขันหลังบ้าน - ฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูล คงจบดีกว่าอันดับ 8 พรีเมียร์ ลีก ถ้าไม่ทำหลุดมือถึง 19 แต้มจากตำแหน่งที่ควรจะคว้าชัยชนะ อาทิ เกมแพ้ เซาแธมป์ตัน 2-3 ทั้งที่นำ 2-0 แต่โดนการซัดเบิลของ มาเน เล่นงาน ดังนั้น เกมรับต้องรัดกุมขึ้น โดยได้ โจเอล มาติป มาจาก ชาลเก 04 ทว่า เดยัน ลอฟเรน ก็ต้องรีดฟอร์มเก่งกลับคืนมา รวมถึงแบ็กอย่าง อัลเบอร์โต โมเรโน และดาวรุ่งอีกหลายคน
6. “นิว เจอร์ราร์ด” - ทุกทีมที่ประสบความสำเร็จย่อมมีผู้นำที่ดี เพราะบางเกมที่เพลี่ยงพล้ำจำเป็นต้องมีนักเตะที่สามารถพลิกสถานการณ์ที่เป็นรอง ซึ่ง ลิเวอร์พูล ขาดสิ่งนี้ช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนล่าสุด คือ สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่อำลาไปเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว คนที่ได้รับการคาดหวังอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ไม่สามารถสวมบททายาท
7. เติมแผงมิดฟิลด์ - แถวสองของ ลิเวอร์พูล ผลิตสกอร์ได้น้อยเกินไป ทางด้าน อดัม ลัลลานา ยกระดับขึ้นภายใต้การคุมทัพของ คล็อปป์ แต่ก็ยังไม่มีหมัดเด็ดยามทีมตกอยู่ภายใต้สถานการณ์คับขัน ดังนั้น อาจจะต้องฝากความหวังแข้งใหม่ ๆ อย่าง มาร์โก กรูยิช วัยเพียงแค่ 20 ปี ซึ่งปีที่แล้วยิง 6 ลูก กับ 7 แอสซิสต์ กับการเล่นให้ เรด สตาร์ เบลเกรด ล่าสุด ยังได้ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม กองกลางเลือดดัตช์จาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ค่าตัว 25 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,250 ล้านบาท) โดยปีที่แล้วกดในลีกไปถึง 11 ประตู
8. ผู้รักษาประตู - ซัมเมอร์นี้ คล็อปป์ คว้าด่านสุดท้ายมาเสริม 2 รายคือ โลริส คาริอุส วัย 23 ปี กับ อเล็กซ์ แมนนิงเกอร์ วัย 39 ปี จึงเล็งเห็นว่า ซิมง มิโญเลต์ มีปัญหาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ดังนั้น การแย่งชิงตำแหน่งมือ 1 อันเข้มข้นนี้ น่าจะเป็นการกระตุ้นให้แต่ละคนรีดฟอร์มหนึบไม่เช่นนั้นต้องไปนั่งอยู่ที่ซุ้มสำรองเพื่อไม่ให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นซ้ำอีก
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *