คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
สั่นสะเทือนไปทั้งวงการกับการย้ายทีมข้ามห้วยของ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน แบ๊กซ้ายกัปตันทีมชาติไทย จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สู่รั้ว “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คู่ปรับโดยตรงทั้งในและนอกสนาม
ธีราทร ตัดสินใจลา “ปราสาทสายฟ้า” อู่ข้าวอู่น้ำที่ตนสังกัดมาร่วม 6 ปี เพื่อย้ายสู่รัง เอสซีจี สเตเดียม ด้วยสัญญา 4 ปีครึ่ง ท่ามกลางความงุนงงของแฟนคลับของทั้งสองทีม โดยมีการคาดการณ์ถึงมูลค่าการซื้อขายครั้งนี้ว่าสูงถึง 30 ล้านบาท และค่าเหนื่อยที่ “เจ้าอุ้ม” จะได้รับอยู่ที่เดือนละ 7 แสนบาท
ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสมน้ำสมเนื้อ และวินทั้ง 3 ฝ่าย ทว่ามีแฟนบอลจำนวนมากที่รู้สึกตะหงิดใจ แม้เจ้าตัวจะออกมาเปิดใจถึงการย้ายทีมครั้งนี้ว่าเป็นเพราะต้องการความท้าทายใหม่ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับตรงกันข้าม ไม่ใช่ว่า เอสซีจี เมืองทองฯ ไม่คู่ควร แต่ในเมืองไทยยังเหลือความท้าทายอะไรให้ “เจ้าอุ้ม” อีก?
ตลอดระยะเวลาที่ลงเล่นในสีเสื้อ “เซราะกราว” ฤดูกาล 2010-2016 โทรฟีระดับท็อปทุกใบในเมืองไทยผ่านมือ ธีราทร มาหมดแล้ว แชมป์ไทยลีก 4 สมัย (2011, 2013, 2014, 2015) แชมป์เอฟเอ คัพ 4 สมัย (2011, 2012, 2013, 2015) แชมป์ลีก คัพ 4 สมัย (2011, 2012, 2013, 2015) และแชมป์ถ้วยพระราชทาน ก 4 สมัย (2013, 2014, 2015, 2016) ไม่รวมทัวร์นาเมนท์พิเศษยิบย่อยอื่นๆ หรือผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่สร้างชื่อในนามทีมชาติไทย ทุกคนจึงมองในทิศทางเดียวกันว่าฝีเท้าระดับ ธีราทร ควรจะย้ายไปเล่นต่างแดนได้แล้ว
ดังนั้นการย้ายสู่อ้อมอก “กิเลนผยอง” ในวัย 26 ปี ด้วยสัญญายาวถึงปี 2021 จึงเสมือนการปิดโอกาสของตัวเองในการไปค้าแข้งต่างประเทศตามความฝันกลายๆ เพราะหากอยู่จนครบสัญญาก็จะถึงหลัก 30 ซึ่งหมดโอกาสแทบจะแน่นอน ทั้งที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงที่พีคที่สุดของอาชีพ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากมองในมุมกลับกัน การแพ็คกระเป๋ามา เอสซีจี เมืองทองฯ อาจทำให้ความฝันของเจ้าตัวเป็นจริงได้เช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าสโมสรแห่งนี้คือทีมเดียวในเมืองไทยยุคปัจจุบันที่ผลักดันแข้งไทยในสังกัดไปถึงเวทียุโรปมาแล้ว โดยนอกจาก “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ที่เซ็นสัญญายืมตัวกับ อัลเมเรีย แล้ว เจ้าของสโมสรแห่งนี้ยังเคยอยู่เบื้องหลังในการส่ง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ไปร่วมทีมฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ รวมถึงการส่ง “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย ไปร่วมทีม เค. ลีร์เซ
จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาและปัจจัยเท่านั้นที่จะทำให้ความฝันของ ธีราทร เป็นจริง แต่คงจะไม่เกิดขึ้นภายใน 1-2 ปีนี้แน่นอน เนื่องจากแม้ เอสซีจี เมืองทองฯ จะมีศักยภาพและคอนเน็คชัน แต่ก็ต้องหวังที่จะใช้งานแข้งป้ายแดงรายนี้ให้คุ้มค่าเสียก่อน นอกจากจะมีสโมสรจากต่างประเทศบ้าคลั่งทุ่มเงินก้อนโตฉีกสัญญา
แสงสว่างที่เหลือพอจะเป็นไปได้มากที่สุดของ “แบ๊กซ้ายกัปตันช้างศึก” อาจจะต้องรอจนถึงอายุ 28-29 ซึ่งนั่นก็อาจจะช้าเกินไป เพราะขนาดรุ่นพี่ 3 รายข้างต้นได้ไปกรุยทางตั้งแต่ช่วงอายุที่น้อยกว่ายังประสบปัญหามากมาย โดย ธีรศิลป์ ไป สเปน ตอนอายุ 25, เกียรติศักดิ์ ไป อังกฤษ ตอนอายุ 26 และ ธีรเทพ ไปเบลเยียม ตอนอายุ 23
จากนี้ก็ต้องจับตากันต่อไปว่าท้ายที่สุดแล้วอนาคตของ “เจ้าอุ้ม” จะลงเอยอย่างไร หากยังได้เพียงแค่โลดแล่นอยู่ในเมืองไทยก็คงเป็นที่น่าเสียดายไม่น้อย เพราะนี่คือนักเตะที่มีศักยภาพที่ดีที่สุดอันดับต้นๆของเมืองไทยในรอบหลายสิบปี
สั่นสะเทือนไปทั้งวงการกับการย้ายทีมข้ามห้วยของ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน แบ๊กซ้ายกัปตันทีมชาติไทย จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สู่รั้ว “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คู่ปรับโดยตรงทั้งในและนอกสนาม
ธีราทร ตัดสินใจลา “ปราสาทสายฟ้า” อู่ข้าวอู่น้ำที่ตนสังกัดมาร่วม 6 ปี เพื่อย้ายสู่รัง เอสซีจี สเตเดียม ด้วยสัญญา 4 ปีครึ่ง ท่ามกลางความงุนงงของแฟนคลับของทั้งสองทีม โดยมีการคาดการณ์ถึงมูลค่าการซื้อขายครั้งนี้ว่าสูงถึง 30 ล้านบาท และค่าเหนื่อยที่ “เจ้าอุ้ม” จะได้รับอยู่ที่เดือนละ 7 แสนบาท
ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสมน้ำสมเนื้อ และวินทั้ง 3 ฝ่าย ทว่ามีแฟนบอลจำนวนมากที่รู้สึกตะหงิดใจ แม้เจ้าตัวจะออกมาเปิดใจถึงการย้ายทีมครั้งนี้ว่าเป็นเพราะต้องการความท้าทายใหม่ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับตรงกันข้าม ไม่ใช่ว่า เอสซีจี เมืองทองฯ ไม่คู่ควร แต่ในเมืองไทยยังเหลือความท้าทายอะไรให้ “เจ้าอุ้ม” อีก?
ตลอดระยะเวลาที่ลงเล่นในสีเสื้อ “เซราะกราว” ฤดูกาล 2010-2016 โทรฟีระดับท็อปทุกใบในเมืองไทยผ่านมือ ธีราทร มาหมดแล้ว แชมป์ไทยลีก 4 สมัย (2011, 2013, 2014, 2015) แชมป์เอฟเอ คัพ 4 สมัย (2011, 2012, 2013, 2015) แชมป์ลีก คัพ 4 สมัย (2011, 2012, 2013, 2015) และแชมป์ถ้วยพระราชทาน ก 4 สมัย (2013, 2014, 2015, 2016) ไม่รวมทัวร์นาเมนท์พิเศษยิบย่อยอื่นๆ หรือผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่สร้างชื่อในนามทีมชาติไทย ทุกคนจึงมองในทิศทางเดียวกันว่าฝีเท้าระดับ ธีราทร ควรจะย้ายไปเล่นต่างแดนได้แล้ว
ดังนั้นการย้ายสู่อ้อมอก “กิเลนผยอง” ในวัย 26 ปี ด้วยสัญญายาวถึงปี 2021 จึงเสมือนการปิดโอกาสของตัวเองในการไปค้าแข้งต่างประเทศตามความฝันกลายๆ เพราะหากอยู่จนครบสัญญาก็จะถึงหลัก 30 ซึ่งหมดโอกาสแทบจะแน่นอน ทั้งที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงที่พีคที่สุดของอาชีพ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากมองในมุมกลับกัน การแพ็คกระเป๋ามา เอสซีจี เมืองทองฯ อาจทำให้ความฝันของเจ้าตัวเป็นจริงได้เช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าสโมสรแห่งนี้คือทีมเดียวในเมืองไทยยุคปัจจุบันที่ผลักดันแข้งไทยในสังกัดไปถึงเวทียุโรปมาแล้ว โดยนอกจาก “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ที่เซ็นสัญญายืมตัวกับ อัลเมเรีย แล้ว เจ้าของสโมสรแห่งนี้ยังเคยอยู่เบื้องหลังในการส่ง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ไปร่วมทีมฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ รวมถึงการส่ง “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย ไปร่วมทีม เค. ลีร์เซ
จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาและปัจจัยเท่านั้นที่จะทำให้ความฝันของ ธีราทร เป็นจริง แต่คงจะไม่เกิดขึ้นภายใน 1-2 ปีนี้แน่นอน เนื่องจากแม้ เอสซีจี เมืองทองฯ จะมีศักยภาพและคอนเน็คชัน แต่ก็ต้องหวังที่จะใช้งานแข้งป้ายแดงรายนี้ให้คุ้มค่าเสียก่อน นอกจากจะมีสโมสรจากต่างประเทศบ้าคลั่งทุ่มเงินก้อนโตฉีกสัญญา
แสงสว่างที่เหลือพอจะเป็นไปได้มากที่สุดของ “แบ๊กซ้ายกัปตันช้างศึก” อาจจะต้องรอจนถึงอายุ 28-29 ซึ่งนั่นก็อาจจะช้าเกินไป เพราะขนาดรุ่นพี่ 3 รายข้างต้นได้ไปกรุยทางตั้งแต่ช่วงอายุที่น้อยกว่ายังประสบปัญหามากมาย โดย ธีรศิลป์ ไป สเปน ตอนอายุ 25, เกียรติศักดิ์ ไป อังกฤษ ตอนอายุ 26 และ ธีรเทพ ไปเบลเยียม ตอนอายุ 23
จากนี้ก็ต้องจับตากันต่อไปว่าท้ายที่สุดแล้วอนาคตของ “เจ้าอุ้ม” จะลงเอยอย่างไร หากยังได้เพียงแค่โลดแล่นอยู่ในเมืองไทยก็คงเป็นที่น่าเสียดายไม่น้อย เพราะนี่คือนักเตะที่มีศักยภาพที่ดีที่สุดอันดับต้นๆของเมืองไทยในรอบหลายสิบปี