xs
xsm
sm
md
lg

โปรไลเซนส์ "โค้ชไทย" ถึงเวลายกระดับสู่สากล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

“โค้ชง้วน” โปร ไลเซนส์ คนเดียวของไทย
ผู้จัดการรายวัน 360 – กลายเป็นเรื่องที่ต้องตื่นตัวทั้งประเทศ เมื่อสหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (เอเอฟซี) เตรียมบังคับให้ทุกโมสรที่เข้าร่วมศึก เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นไป ต้องใช้หัวหน้าผู้ฝึกสอนที่มีใบอนุญาตการเรียนโค้ชระดับ โปร ไลเซนส์ (Pro License) เพื่อยกระดับคุณภาพการแข่งขันให้สูงขึ้น ซึ่ง ณ ปัจจุบันมี “โค้ชไทย” เพียงรายเดียวที่ผ่านเกณฑ์ คือ "โค้ชง้วน" สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ เนื่องจากที่ผ่านมาสมาคมฟุตบอลไทยละเลยที่จะให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างจริงจัง รวมถึงยังมีค่าคอร์สเรียนที่สูงถึงครึ่งล้านบาท

โปร ไลเซนส์ คือ หลักสูตรการสอนมาตรฐานสูงสุดของโค้ชที่เอเอฟซีรับรองสำหรับระดับสโมสรและระดับทีมชาติ ดังนั้นเมื่อมีมติมาแล้ว บรรดาบิ๊กทีมหัวตารางศึกไทย ลีก รวมถึงสโมสรต่างๆ จึงต้องรีบเตรียมพร้อมหากต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าตามมาตรฐานที่วางไว้ ทว่าตอนนี้มีโค้ชไทยรายเดียวเท่านั้นที่ได้รับดีกรีนี้จากเอเอฟซี คือ “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ อดีตโค้ชทีมชาติไทย ที่ปัจจุบันนั่งแท่น ผอ.สโมสร บางกอกกล๊าส เอฟซี

กุนซือวัย 46 ปี กล่าวถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้โค้ชไทยไม่สามารถไต่เต้าถึงจุดที่ตนยืนอยู่ได้ว่าเป็นเพราะที่ผ่านมา “สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย” ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ “ปัญหาสำคัญเลยคือเราขาดออแกไนเซอร์ในการดึงการอบรมมาจัดที่เมืองไทย หรือประสานงานส่งโค้ชไปเรียนยังต่างประเทศ ที่ผ่านมาสมาคมฟุตบอลฯไม่เคยให้ความสนใจเรื่องนี้ทั้งที่ต้องเป็นผู้เผยแพร่ ทำให้โค้ชไม่รู้ว่าจะต้องไปอบรมที่ไหน ตัวผมเองรับรู้จากเพื่อนฝูงสมัยค้าแข้งที่สิงคโปร์ ว่าที่นั่นเขามีวิทยากรจากฟีฟ่ามาเปิดอบรมโค้ชระดับ โปร ไลเซนส์ เมื่อปี 2011 จึงได้ขอกับทางบางกอกกล๊าส และทางทีมได้สนับสนุนเต็มที่ ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาคมเลย”

พร้อมกันนี้ “โค้ชง้วน” เผยต่อถึงอีกปัจจัยว่ามาจากค่าเรียนที่สูงถึงครึ่งล้านบาท “การอบรมใช้เวลารวม 3 เดือน ซึ่งมีหลักสูตรไม่ยาก เพราะทุกคนผ่าน เอ ไลเซนส์ เคยคุมทีมมาหมดแล้ว จึงเป็นการสอนเรื่องการทำทีม การสร้างทีม การใช้นักเตะในภาคทฤษฎี แบ่งเป็นช่วงต้นปี 1 เดือน ซึ่งผมเรียนที่สิงคโปร์ เบื้องต้นจะให้โค้ชทุกคนแลกเปลี่ยนไอเดีย และให้การบ้านทำงานกลุ่ม จากนั้นกลางปีจึงเริ่มเดือนที่สอง ซึ่งต้องไปดูงานอีกประเทศ โดยของผมเป็นประเทศญี่ปุ่น สุดท้ายช่วงปลายปีจะเป็นเดือนที่สรุปผลทุกอย่างที่เรียนมา ส่วนมากจะผ่านทุกคนอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้การที่ต้องไปอบรมต่างประเทศ ทำให้ค่าคอร์สเรียนที่เหมารวมทั้งค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเดินทาง สูงถึง 5 แสนบาท”

อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติไทย ทิ้งท้ายว่า “การที่เอเอฟซีจะบังคับใช้เกณฑ์นี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะโค้ชไทยจะได้ตื่นตัว ที่สำคัญเป็นผลดีของตัวโค้ชแต่ละคนเอง เพราะเปรียบเสมือนเป็นการได้ใบปริญญาติดตัว นำมาซึ่งรายได้และความก้าวหน้าของอาชีพในอนาคต แต่ทั้งนี้หากจะเรียนก็ต้องแบ่งเวลาให้ดี ต้องคุยกับต้นสังกัดอย่างจริงจัง”

อย่างไรก็ตามล่าสุด “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล อุปนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เตรียมที่จะผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง “หลังจากที่ผมได้หารือกับเอเอฟซีและฟีฟ่า เขาพร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่ ดังนั้นผมจะเริ่มตั้งแต่หลังจบฤดูกาลนี้ทันที มีเป้าหมายคือภายใน 2 ปี โค้ชในไทยลีกต้องเป็นระดับ โปร ไลเซนส์ ทุกทีม โดยจะดึงวิทยากรจากฟีฟ่ามาเปิดอบรมให้กับโค้ชไทย คุณสมบัติขอโค้ชที่จะอบรมต้องถือใบอนุญาตระดับ เอ ไลเซนส์ อย่างน้อย 2 ปี และมีประสบการณ์การคุมทีมชุดใหญ่ของสโมสรหรือทีมชาติอย่างต่อเนื่อง ส่วนค่าใช้จ่ายเรื่องการประสานงานนั้นทางสมาคมฯจะออกให้ แต่ค่าเรียนทางสโมสรต้องรับผิดชอบโค้ชของตัวเอง ส่วนจะถูกหรือแพงนั้นขึ้นอยู่กับเราเลือกวิทยากรและประเทศที่จะไปดูงาน ซึ่งผมมองว่าเราควรจะเลือกวิทยากรเกรดที่ดีๆ และไปศึกษางานในประเทศชั้นนำอย่าง ญี่ปุ่น อิตาลี หรืออาร์เจนตินา ดังนั้นแม้ค่าเรียนจะสูงถึง 1 ล้านบาทก็ยังถูกไปเลย เพราะใบประกาศที่ได้มาจะเป็นไม้กันหมาให้กับโค้ชแต่ละคนในการทำงานทั้งในไทยและต่างประเทศ”

ขณะเดียวกันด้านทีมขาประจำที่เป็นตัวแทนเข้าแข่งถ้วยเอเชียในได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว โดย ทัดเทพ พิทักษ์พูลสิน ผู้จัดการทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เผยว่า อเล็กซานเดร กามา กุนซือของทีมมีดีกรี โปร ไลเซนส์ อยู่แล้ว และทางทีมเองไม่มีนโยบายที่จะใช้โค้ชไทย ส่วน ชลบุรี เอฟซี ที่เตรียมส่ง “โค้ชโบ้” จักรพันธ์ ปั่นปี หัวหน้าผู้ฝึกสอน เข้าอบรม ระหว่างที่รอ เทิดศักดิ์ ใจมั่น ผู้จัดการทีม ไต่เต้าร่ำเรียนระดับ เอ ไลเซนส์

ไม่เว้นแม้แต่ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือช้างศึก ที่ต้องตื่นตัวเช่นกัน เนื่องจากเอเอฟซี เตรียมกำหนดให้โค้ชทีมชาติชุดใหญ่ ทั้งชาย-หญิง ต้องยกระดับเป็น โปร ไลเซนส์ เช่นกัน ในปี 2019 โดย เทรนเนอร์วัย 42 ปี เผยว่า ตนจะต้องเรียนแน่นอน และได้กระจายข่าวแก่เพื่อนๆทุกคนแล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นการช่วยพัฒนาศักยภาพโค้ชไทย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นต้องดูว่าทางสมาคมฯจะชวยเหลืออย่างไรได้บ้าง
“โค้ชเฮง” เปิดหลักสูตรทันที
“ซิโก้-แบน” เตรียมเข้าอบรมเพิ่ม
บุรีรัมย์ ไร้ปัญหาใช้โค้ชนอก

กำลังโหลดความคิดเห็น