คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
กว่าที่ "บิ๊กอ็อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.จะเอาชนะการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เหนือกลุ่มอำนาจเดิมของ วรวีร์ มะกูดี ขาใหญ่แห่งวงการลูกหนังที่ครอบครองเก้าอี้มานานนั้นไม่ง่ายเลย เพราะต้องฝ่าฝันทำความเข้าใจกับหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสโมสรสมาชิกทั้งระดับ ไทยพรีเมียร์ลีก, ดิวิชั่น 1, ดิวิชั่น 2 ร่วมถึงลีกระดับฟุตบอลถ้วย และทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนด้วยการทำให้เชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ และคณะทำงาน ทุกอย่างที่เคยหม่นๆ เทาๆ จะโปร่งใส และตอบได้ทุกคำถามดั่งแคมเปญหาเสียงสุดหรูที่เรียก "FAIR"
เมื่อคว้าชัยชนะได้สมใจทุกคนก็อยากเห็นสิ่งที่นายกสมาคมคนใหม่พร่ำหาเสียงด้วยคำว่า "FAIR" กับทุกทีม โปร่งใสกับทุกกติกา และการตัดสินเหมือนที่เคยกล่าวไว้ แต่ความมั่นใจในเรื่องนี้ดูเหมือนจะเริ่มถูกตั้งคำถามกันตั้งแต่การแบ่งโซนลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ที่ของเดิมมี 6 โซน คราวนี้เปลี่ยนใหม่เป็น 8 โซน และมันคงจะไม่มีอะไร หากแต่มีหลายสโมสรถูกโยกไปเล่นในโซนที่ห่างไกลโซนเดิมของตน ยกตัวอย่าง หนองบัวพิชญ เอฟซี, เลย ซิตี อาร์แอร์ไลน์ และ มาแชร์ ชัยภูมิ เอฟซี เล่นอยู่ในโซนตะวันออกเฉียงเหนือมาโดยตลอด เที่ยวนี้ต้องไปเล่นในโซนภาคเหนือ ส่วนทีมอย่าง ชุมพร เอฟซี เป็นจังหวัดประตูสู่ภาคใต้แท้ๆ ไปเล่นโซนตะวันตก นอกนั้นยังมี อัสสัมชัญ ยูไนเต็ด ก็โดนย้ายออกจากโซนกรุงเทพฯ ไปเตะกับโซนตะวันตกเหมือนกัน
แม้ว่าสมาคมฟุตบอลยุค "บิ๊กอ็อด" จะมีนโยบายออกค่าเดินทางสำหรับทีมเยือนเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท แต่การเดินทางแต่ละครั้งกับทีมที่ต้องเดินทางอย่าง ชุมพร ไปแข่งกับ เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด หรือ เชียงราย ซิตี ไปแข่งกับ หนองบัวพิชญ หรือแม้แต่ เลย ซิตี มันก็ดูห่างไกลกันไม่น้อย โค้ชบางทีมพอรู้ว่าตัวเองต้องเดินทางไปเตะกันคนละภาคนี่ถึงกับมือก่ายหน้าผากกันเลยทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องความ "FAIR" ของผู้ตัดสินก็เริ่มมีการพูดถึงกันอีกเช่นกัน เริ่มจากนัดที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเฉือนเอาชนะ ราชนาวี จากลูกยิงที่ไม่ควรเป็นจุดโทษในช่วงท้ายเกม จนถูกนินทาว่า ไหนว่าทีมนั้นเก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องช่วยยังได้ 5 แชมป์ แม้สุดท้ายผู้ตัดสินรายนั้นจะถูกพักงานจนกว่าการสอบสวนข้อเท็จจริงจะเสร็จสิ้น แต่ 1 คะแนนที่ทีมเยือนควรจะได้รับมันไม่กลับคืนมานี่หาก ราชนาวี ต้องตกชั้นเพราะขาดไปเพียง 1 คะแนน นั่นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่หลวงไหม
ยังไม่จบแค่นี้ กรณีล่าสุดระหว่าง ศรีสะเกษ เอฟซี ชนะ ชัยนาท ฮอร์นบิล 2-1 ซึ่งวันนั้นผู้ตัดสิน ควักใบเหลืองให้กับ อันทอน เซมลิอานุกกิน (ได้ข่าวว่าฉายาคือ "อัลตรอน" แต่แฟนศรีสะเกษ เรียกว่า "โอ้นโต้น" ให้น่ารักเข้าไปใหญ่) นักเตะอิมพอร์ตจากคีร์กิสถาน ในจังหวะทำฟาล์วแข้ง "นกใหญ่" ก่อนจะชูใบแดง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่มีเลยใบเหลือง ทำเอางงกันทั้งสนาม จากนั้นจึงมีหนังสือยืนยันจากคณะกรรมการพิจารณาวินัยมารยาทของสมาคม ระบุว่านักเตะรายนี้โดนใบแดง แต่กลับไม่มีใบเหลือง ต้องโดนแบน 1 นัด และปรับ 10,000 บาท แต่คนที่ดูการถ่ายทอดสด เห็นกันชัดๆ ว่าผู้ตัดสินชูใบเหลืองไปแล้ว และทำไมในหนังสืออย่างเป็นทางการกลับไม่มี
ต่อให้ภายหลังกรรมการคนนี้ออกมาบอกว่า สาเหตุที่ อันทอน ได้รับใบแดงเพราะไปสบถใส่เป็นคำด่าภาษาอังกฤษ (มีคนกระซิบมาว่านักเตะรายนี้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยซ้ำ) แต่ในเอกสารอย่างเป็นทางการก็ไม่ระบุว่าโดนใบเหลืองเลย และผลกระทบที่ทีม "กูปรี" ได้รับคือ นักเตะคนนี้ลงเล่นนัดเยือนสุพรรณบุรี เอฟซี ไม่ได้ แล้วก็แพ้ไป 1-0 ถามกลับว่าแบบนี้จะต่างจากยุคก่อนตรงไหน?
กว่าที่ "บิ๊กอ็อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.จะเอาชนะการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เหนือกลุ่มอำนาจเดิมของ วรวีร์ มะกูดี ขาใหญ่แห่งวงการลูกหนังที่ครอบครองเก้าอี้มานานนั้นไม่ง่ายเลย เพราะต้องฝ่าฝันทำความเข้าใจกับหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสโมสรสมาชิกทั้งระดับ ไทยพรีเมียร์ลีก, ดิวิชั่น 1, ดิวิชั่น 2 ร่วมถึงลีกระดับฟุตบอลถ้วย และทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนด้วยการทำให้เชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ และคณะทำงาน ทุกอย่างที่เคยหม่นๆ เทาๆ จะโปร่งใส และตอบได้ทุกคำถามดั่งแคมเปญหาเสียงสุดหรูที่เรียก "FAIR"
เมื่อคว้าชัยชนะได้สมใจทุกคนก็อยากเห็นสิ่งที่นายกสมาคมคนใหม่พร่ำหาเสียงด้วยคำว่า "FAIR" กับทุกทีม โปร่งใสกับทุกกติกา และการตัดสินเหมือนที่เคยกล่าวไว้ แต่ความมั่นใจในเรื่องนี้ดูเหมือนจะเริ่มถูกตั้งคำถามกันตั้งแต่การแบ่งโซนลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ที่ของเดิมมี 6 โซน คราวนี้เปลี่ยนใหม่เป็น 8 โซน และมันคงจะไม่มีอะไร หากแต่มีหลายสโมสรถูกโยกไปเล่นในโซนที่ห่างไกลโซนเดิมของตน ยกตัวอย่าง หนองบัวพิชญ เอฟซี, เลย ซิตี อาร์แอร์ไลน์ และ มาแชร์ ชัยภูมิ เอฟซี เล่นอยู่ในโซนตะวันออกเฉียงเหนือมาโดยตลอด เที่ยวนี้ต้องไปเล่นในโซนภาคเหนือ ส่วนทีมอย่าง ชุมพร เอฟซี เป็นจังหวัดประตูสู่ภาคใต้แท้ๆ ไปเล่นโซนตะวันตก นอกนั้นยังมี อัสสัมชัญ ยูไนเต็ด ก็โดนย้ายออกจากโซนกรุงเทพฯ ไปเตะกับโซนตะวันตกเหมือนกัน
แม้ว่าสมาคมฟุตบอลยุค "บิ๊กอ็อด" จะมีนโยบายออกค่าเดินทางสำหรับทีมเยือนเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท แต่การเดินทางแต่ละครั้งกับทีมที่ต้องเดินทางอย่าง ชุมพร ไปแข่งกับ เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด หรือ เชียงราย ซิตี ไปแข่งกับ หนองบัวพิชญ หรือแม้แต่ เลย ซิตี มันก็ดูห่างไกลกันไม่น้อย โค้ชบางทีมพอรู้ว่าตัวเองต้องเดินทางไปเตะกันคนละภาคนี่ถึงกับมือก่ายหน้าผากกันเลยทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องความ "FAIR" ของผู้ตัดสินก็เริ่มมีการพูดถึงกันอีกเช่นกัน เริ่มจากนัดที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเฉือนเอาชนะ ราชนาวี จากลูกยิงที่ไม่ควรเป็นจุดโทษในช่วงท้ายเกม จนถูกนินทาว่า ไหนว่าทีมนั้นเก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องช่วยยังได้ 5 แชมป์ แม้สุดท้ายผู้ตัดสินรายนั้นจะถูกพักงานจนกว่าการสอบสวนข้อเท็จจริงจะเสร็จสิ้น แต่ 1 คะแนนที่ทีมเยือนควรจะได้รับมันไม่กลับคืนมานี่หาก ราชนาวี ต้องตกชั้นเพราะขาดไปเพียง 1 คะแนน นั่นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่หลวงไหม
ยังไม่จบแค่นี้ กรณีล่าสุดระหว่าง ศรีสะเกษ เอฟซี ชนะ ชัยนาท ฮอร์นบิล 2-1 ซึ่งวันนั้นผู้ตัดสิน ควักใบเหลืองให้กับ อันทอน เซมลิอานุกกิน (ได้ข่าวว่าฉายาคือ "อัลตรอน" แต่แฟนศรีสะเกษ เรียกว่า "โอ้นโต้น" ให้น่ารักเข้าไปใหญ่) นักเตะอิมพอร์ตจากคีร์กิสถาน ในจังหวะทำฟาล์วแข้ง "นกใหญ่" ก่อนจะชูใบแดง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่มีเลยใบเหลือง ทำเอางงกันทั้งสนาม จากนั้นจึงมีหนังสือยืนยันจากคณะกรรมการพิจารณาวินัยมารยาทของสมาคม ระบุว่านักเตะรายนี้โดนใบแดง แต่กลับไม่มีใบเหลือง ต้องโดนแบน 1 นัด และปรับ 10,000 บาท แต่คนที่ดูการถ่ายทอดสด เห็นกันชัดๆ ว่าผู้ตัดสินชูใบเหลืองไปแล้ว และทำไมในหนังสืออย่างเป็นทางการกลับไม่มี
ต่อให้ภายหลังกรรมการคนนี้ออกมาบอกว่า สาเหตุที่ อันทอน ได้รับใบแดงเพราะไปสบถใส่เป็นคำด่าภาษาอังกฤษ (มีคนกระซิบมาว่านักเตะรายนี้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วยซ้ำ) แต่ในเอกสารอย่างเป็นทางการก็ไม่ระบุว่าโดนใบเหลืองเลย และผลกระทบที่ทีม "กูปรี" ได้รับคือ นักเตะคนนี้ลงเล่นนัดเยือนสุพรรณบุรี เอฟซี ไม่ได้ แล้วก็แพ้ไป 1-0 ถามกลับว่าแบบนี้จะต่างจากยุคก่อนตรงไหน?