คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
เป็นอันจบแล้วสำหรับการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย หลังยืดเยื้อมานานข้ามปี ในที่สุดก็ได้นายกสมาคมคนใหม่ชื่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และถือเป็นนายตำรวจคนที่ 3 ที่ได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้ เป็นนายกสมาคมคนที่ 17 ในวาระครบ 100 ปี ของสมาคมแห่งนี้
ซึ่งช่วงของการเดินสายหาเสียงกับสโมสรสมาชิกที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ ได้ให้คำมั่นสัญญาต่างๆ ไว้มากมายถึงการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย ด้วยแคมเปญที่ใช้ชื่อเก๋ไก๋ว่า FAIR ภายใต้การสนับสนุนของขาใหญ่วงการลูกหนังไทยอย่าง บุรีรัมย์ และ ชลบุรี รวมถึง คิงส์พาวเวอร์ โดยคำสัญญาที่ถือเป็นนโยบายต่างๆ จะขอนำมาหยิบยกให้ฟังกันลืม ประกอบด้วย
จัดหางบประมาณสนับสนุนส่งเสริมสโมสรสมาชิกให้มีโอกาสไปศึกษางานลีกฟุตบอลระดับสากล ซึ่งก็หนีไม่พ้น เลสเตอร์ ซิตี รวมถึงสโมสรต่างๆทั้งในลีกสเปน อังกฤษ รวมถึง เจลีก อีกเรื่องที่น่าสนใจคือนำรายได้จาก ไทยพรีเมียร์ลีก 20%, ดิวิชั่น 1 อีก 10% และ ดิวิชั่น 2 อีก 10% นำมาจัดการแข่งขันให้ทีมในลีกต่างๆ ไปแข่งขันกับสโมสรระดับภูมิภาค อย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้ทีมลีกรากหญ้ามีรายได้จากการจำหน่ายบัตรมาพยุงฐานการเงินของสโมสร
อีกเรื่องที่ลืมไม่ได้คือการจัดให้ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ออกไปตระเวณแข่งขันตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อให้คนไทยให้สัมผัส ติดตาม และเข้าถึงทีม "ช้างศึก" มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่น้อยนักที่ชาวภูธรจะได้ชมเกมระดับชาติอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ที่ค้างคาใจกันมามากกับการบริหารงานสมาคมในยุคก่อน เป็นเรื่องของสิทธิประโยชน์ของสมาคม รวมถึงไทยพรีเมียร์ลีก "บิ๊กอ๊อด" ยืนยันว่าทุกอย่างต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และต้องมีการประมูลตามแบบฉบับสากล เพื่อให้สมาคมฟุตบอล สโมสร และประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด แถมยังเล็งนำลิขสิทธิ์ไทยพรีเมียร์ลีก ไปสู่ตลาดอาเซียน เพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งดูไปดูมาก็เหมือนเดินตาม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่กำลังเดินสายหาแฟนบอลในภูมิภาคนี้เช่นกัน ไม่เพียงแต่จะเพิ่มมูลค่าลีกสูงสุด หากแต่ที่ผ่านมาฟุตบอล ดิวิชั่น 1 และ ดิวิชั่น 2 กลายเป็นของแถมให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์ไปเสียอีก ต้องนำกลับมาปัดฝุ่นสร้างให้เป็นของดี สร้างรายได้กลับสู่สมาคม และสโมสรเพิ่มขึ้น
ที่หนีไม่ออก และหนีไม่ได้ คือคำถามว่าเราจะได้ไปฟุตบอลโลกในชาตินี้หรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ ยืนยันว่าต้องชาตินี้ โดยเตรียมแผนสร้างอคาเดมีของทีมชาติไทย เพื่อเปิดโอกาสให้สโมสรสมาชิกส่งนักฟุตบอลระดับเยาวชนดาวรุ่งฝีเท้าดีมาฝึกสอน ไม่มีเด็กเส้น โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดขอให้สมาคมรับผิดชอบ เพื่อผลิตนักกีฬาสู่ทีมชาติไทยอย่างต่อเนื่อง ต่อยอดสู่เป้าหมายไปแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เริ่มจากไปเล่นฟุตบอลโลกระดับเยาวชน ด้วยแผน 5 ปี ทีมชาติไทย จะมีนักฟุตบอลไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ยู 17 ปี และ ยู 19 ปี ซึ่งกองหนุนที่จะพัฒนาก็ไม่ใช่ใคร "เจ้าสัวคิงส์พาวเวอร์" วิชัย ศรีวัฒนประภา แห่ง เลสเตอร์ เจ้าเก่า
ส่วนเรื่องผู้ตัดสินที่โดนจวกกันมานานว่ามาตรฐานย่ำแย่ เจ้าตัวยืนยันจะปรับโครงสร้างใหม่ให้คณะกรรมการผู้ตัดสินเป็นอิสระ เพื่อจะได้ทำหน้าที่อย่างขาวสะอาดไม่เป่านกหวีดแบบเลือกข้างเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งหาทำผิดจะมีบทลงโทษทางวินัย และดำเนินคดีอาญา ต่อด้วยระบบจ่ายเงินค่าตอบแทนต้องชัดเจนเป็นระบบตรวจสอบได้ ไม่เหมือนปัจจุบันที่เบิกจ่ายกันข้ามปีก็ยังไม่ได้ จนมีการร้องเรียนให้เสื่อมเสียกันอีก
... สัญญากันแล้วนะ ห้ามเบี้ยว
เป็นอันจบแล้วสำหรับการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย หลังยืดเยื้อมานานข้ามปี ในที่สุดก็ได้นายกสมาคมคนใหม่ชื่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และถือเป็นนายตำรวจคนที่ 3 ที่ได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้ เป็นนายกสมาคมคนที่ 17 ในวาระครบ 100 ปี ของสมาคมแห่งนี้
ซึ่งช่วงของการเดินสายหาเสียงกับสโมสรสมาชิกที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ ได้ให้คำมั่นสัญญาต่างๆ ไว้มากมายถึงการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย ด้วยแคมเปญที่ใช้ชื่อเก๋ไก๋ว่า FAIR ภายใต้การสนับสนุนของขาใหญ่วงการลูกหนังไทยอย่าง บุรีรัมย์ และ ชลบุรี รวมถึง คิงส์พาวเวอร์ โดยคำสัญญาที่ถือเป็นนโยบายต่างๆ จะขอนำมาหยิบยกให้ฟังกันลืม ประกอบด้วย
จัดหางบประมาณสนับสนุนส่งเสริมสโมสรสมาชิกให้มีโอกาสไปศึกษางานลีกฟุตบอลระดับสากล ซึ่งก็หนีไม่พ้น เลสเตอร์ ซิตี รวมถึงสโมสรต่างๆทั้งในลีกสเปน อังกฤษ รวมถึง เจลีก อีกเรื่องที่น่าสนใจคือนำรายได้จาก ไทยพรีเมียร์ลีก 20%, ดิวิชั่น 1 อีก 10% และ ดิวิชั่น 2 อีก 10% นำมาจัดการแข่งขันให้ทีมในลีกต่างๆ ไปแข่งขันกับสโมสรระดับภูมิภาค อย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้ทีมลีกรากหญ้ามีรายได้จากการจำหน่ายบัตรมาพยุงฐานการเงินของสโมสร
อีกเรื่องที่ลืมไม่ได้คือการจัดให้ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ออกไปตระเวณแข่งขันตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อให้คนไทยให้สัมผัส ติดตาม และเข้าถึงทีม "ช้างศึก" มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่น้อยนักที่ชาวภูธรจะได้ชมเกมระดับชาติอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ที่ค้างคาใจกันมามากกับการบริหารงานสมาคมในยุคก่อน เป็นเรื่องของสิทธิประโยชน์ของสมาคม รวมถึงไทยพรีเมียร์ลีก "บิ๊กอ๊อด" ยืนยันว่าทุกอย่างต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และต้องมีการประมูลตามแบบฉบับสากล เพื่อให้สมาคมฟุตบอล สโมสร และประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด แถมยังเล็งนำลิขสิทธิ์ไทยพรีเมียร์ลีก ไปสู่ตลาดอาเซียน เพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งดูไปดูมาก็เหมือนเดินตาม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่กำลังเดินสายหาแฟนบอลในภูมิภาคนี้เช่นกัน ไม่เพียงแต่จะเพิ่มมูลค่าลีกสูงสุด หากแต่ที่ผ่านมาฟุตบอล ดิวิชั่น 1 และ ดิวิชั่น 2 กลายเป็นของแถมให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์ไปเสียอีก ต้องนำกลับมาปัดฝุ่นสร้างให้เป็นของดี สร้างรายได้กลับสู่สมาคม และสโมสรเพิ่มขึ้น
ที่หนีไม่ออก และหนีไม่ได้ คือคำถามว่าเราจะได้ไปฟุตบอลโลกในชาตินี้หรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ ยืนยันว่าต้องชาตินี้ โดยเตรียมแผนสร้างอคาเดมีของทีมชาติไทย เพื่อเปิดโอกาสให้สโมสรสมาชิกส่งนักฟุตบอลระดับเยาวชนดาวรุ่งฝีเท้าดีมาฝึกสอน ไม่มีเด็กเส้น โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดขอให้สมาคมรับผิดชอบ เพื่อผลิตนักกีฬาสู่ทีมชาติไทยอย่างต่อเนื่อง ต่อยอดสู่เป้าหมายไปแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เริ่มจากไปเล่นฟุตบอลโลกระดับเยาวชน ด้วยแผน 5 ปี ทีมชาติไทย จะมีนักฟุตบอลไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ยู 17 ปี และ ยู 19 ปี ซึ่งกองหนุนที่จะพัฒนาก็ไม่ใช่ใคร "เจ้าสัวคิงส์พาวเวอร์" วิชัย ศรีวัฒนประภา แห่ง เลสเตอร์ เจ้าเก่า
ส่วนเรื่องผู้ตัดสินที่โดนจวกกันมานานว่ามาตรฐานย่ำแย่ เจ้าตัวยืนยันจะปรับโครงสร้างใหม่ให้คณะกรรมการผู้ตัดสินเป็นอิสระ เพื่อจะได้ทำหน้าที่อย่างขาวสะอาดไม่เป่านกหวีดแบบเลือกข้างเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งหาทำผิดจะมีบทลงโทษทางวินัย และดำเนินคดีอาญา ต่อด้วยระบบจ่ายเงินค่าตอบแทนต้องชัดเจนเป็นระบบตรวจสอบได้ ไม่เหมือนปัจจุบันที่เบิกจ่ายกันข้ามปีก็ยังไม่ได้ จนมีการร้องเรียนให้เสื่อมเสียกันอีก
... สัญญากันแล้วนะ ห้ามเบี้ยว