คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ “ฟีฟ่า” ได้โฉมหน้านายใหญ่คนใหม่เรียบร้อย คือ จิอันนี อินฟานติโน อดีตเลขาธิการทั่วไป สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟา) ชาวสวิส เชื้อสายอิตาเลียน ซึ่งแม้จะไม่ใช่ชาวเอเชียอย่างที่หลายคนคาดหมาย แต่มีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อลูกหนังไทยไม่น้อยเช่นกัน
อินฟานติโน วัย 45 ปี ได้รับชัยชนะในการเลือกประธานฟีฟ่าคนที่ 9 เหนือผู้ท้าชิงอย่าง ชีกห์ ซัลแมน บิน เอลบราฮิม อัล คาลิฟา ประธานสหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย(เอเอฟซี) ชาวบาห์เรน, ปรินซ์ อาลี บิน อัล ฮุสเซน เจ้าชายแห่งประเทศจอร์แดน, เจอโรม แชมเปญ อดีตบอร์ดบริหารฟีฟาชาวฝรั่งเศส และโตเกียว ซิเฟเล ตัวแทนจาก แอฟริกาใต้ ที่ขอสละสิทธิ์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงผู้นำลูกหนังโลกคนใหม่ในรอบ 18 ปี หลังจากที่เจ้าของตำแหน่งเดิมอย่าง เซปป์ แบล็ตเตอร์ อดีตประธานฯ ชาวสวิส ที่ยึดเก้าอี้มา 18 ปี โดนโทษแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลทุกระดับเป็นเวลา 6 ปี
ในการประชุม ณ เมืองซูริก ที่ผ่านมา มีตัวแทนจากประเทศไทย คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่ร่วมเดินทางไปลงคะแนนด้วย พร้อมกับทีมงาน พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก เลขาธิการสมาคมฯ และ นายพาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาฯ ฝ่ายต่างประเทศ ซึ่ง “บิ๊กอ๊อด” ได้เลือกออกเสียงให้ผู้สมัครรายใดนั้นยังถูกเก็บเป็นความลับ
อย่างไรก็ตามแม้หลายฝ่ายมองว่า พล.ต.อ.สมยศ อาจจะเทใจให้แคนดิเดตจากเอเชียรายใดรายหนึ่ง ด้วยเหตุผลความสัมพันธ์ทางด้านเชื้อชาติ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อประเทศมากกว่า แต่กระนั้นการที่ อินฟานติโน เป็นผู้ชนะก็ส่งผลดีต่อลูกหนังไทยไม่ด้อยกว่ากัน เผลอๆอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
วงในเล่ามาว่าคืนก่อนการเลือกตั้ง อินฟานติโน ได้เข้าไปพบ พล.ต.อ.สมยศ ถึงห้องพัก และได้ร่วมดริงค์สนทนากันอย่างถูกคอจนดึกดื่น แม้เจ้าตัวจะมีภารกิจที่ต้องสะสางกองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าก็ตาม เรียกว่าให้ความสำคัญกับชาติเล็กๆจากอาเซียนจนได้ใจกลับไปไม่น้อย โดยบทสนทนามีตั้งแต่เรื่องฟุตบอล จนถึงสัพเพเหระทั่วไป
ยิ่งไปกว่านั้นหลังได้รับชัยชนะ “ประธานฟีฟ่าป้ายแดง” ยังได้ให้คำมั่นสัญญากับ นายกบอลไทย ว่าจะช่วยซัพพอร์ททุกเรื่องที่ต้องการ อยากได้สิ่งใดขอให้บอก แถมยังรับปากว่าจะเดินทางมาเยี่ยมเยือนกรุงเทพฯอีกด้วย เพราะเจ้าตัวมองว่า ฟุตบอลไทย กำลังพัฒนาจนเป็นที่น่าจับตา โดยตอนนี้มีเงินสนับสนุนสำหรับประเทศไทยที่ค้างจ่ายอยู่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 71 ล้านบาท) ขอเพียงส่งแผนงานไปเสนอเท่านั้นว่าจะนำเงินมาใช้ทำอะไร
เหนืออื่นใด อินฟานติโน เป็นคนที่ทำงาน มีประสบการณ์ในยูฟ่ามากว่า 16 ปี เริ่มไต่เต้าตั้งแต่ตำแหน่งฝ่ายกฎหมาย ต่อด้วยผู้ช่วยเลขาธิการทั่วไป และเลขาธิการ ยุค มิเชล พลาตินี ก่อนจะก้าวถึงจุดสูงสุดในปัจจุบัน จึงทำให้ชาติสมาชิกสามารถพูดคุยและเข้าถึงได้แบบใกล้ชิด เข้าหาได้ง่ายกว่าการที่ประธานคนใหม่จะมาจากเชื้อพระวงศ์อย่างผู้สมัครจากเอเชียทั้ง 2 ราย ซึ่งกว่าจะได้พบถึงตัวต้องผ่านขั้นตอนต่างๆมากมาย
นอกจากนี้เจ้าตัวยังมีนโยบายต้องการเพิ่มจำนวนทีมใน ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย จากเดิม 32 ทีม เป็น 40 ทีม เพื่อให้โอกาสแก่ชาติเล็กๆได้เข้าร่วมแข่งขันมากขึ้น ซึ่งหากทวีปเอเชียได้โควตาเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อทัพ “ช้างศึก” อีกเช่นกัน
จะว่าไปก็เหมือนเป็นการรีเซตใหม่พร้อมกันทั้งฟีฟ่าและฟุตบอลไทย ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่าง เซปป์ แบล็ตเตอร์ กับ วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลไทย ก็เข้าขั้นซี้ปึ้ก แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็พัวพันกับข่าวฉาวจนโดนโทษแบนไปตามๆกัน ก่อนที่ทั้ง 2 องค์กร จะได้ผู้นำคนใหม่ในเวลาไล่เลี่ยกัน และทั้งสองคนยังชูธงกอบกู้ภาพพจน์ที่เสียไปของหน่วยงานกลับคืนมาเหมือนกันอีกต่างหาก การได้ก้าวไปด้วยแนวความคิดในทิศทางเดียวกัน อาจจะเป็นผลดีต่อไทยไม่มากก็น้อย
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ “ฟีฟ่า” ได้โฉมหน้านายใหญ่คนใหม่เรียบร้อย คือ จิอันนี อินฟานติโน อดีตเลขาธิการทั่วไป สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟา) ชาวสวิส เชื้อสายอิตาเลียน ซึ่งแม้จะไม่ใช่ชาวเอเชียอย่างที่หลายคนคาดหมาย แต่มีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อลูกหนังไทยไม่น้อยเช่นกัน
อินฟานติโน วัย 45 ปี ได้รับชัยชนะในการเลือกประธานฟีฟ่าคนที่ 9 เหนือผู้ท้าชิงอย่าง ชีกห์ ซัลแมน บิน เอลบราฮิม อัล คาลิฟา ประธานสหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย(เอเอฟซี) ชาวบาห์เรน, ปรินซ์ อาลี บิน อัล ฮุสเซน เจ้าชายแห่งประเทศจอร์แดน, เจอโรม แชมเปญ อดีตบอร์ดบริหารฟีฟาชาวฝรั่งเศส และโตเกียว ซิเฟเล ตัวแทนจาก แอฟริกาใต้ ที่ขอสละสิทธิ์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงผู้นำลูกหนังโลกคนใหม่ในรอบ 18 ปี หลังจากที่เจ้าของตำแหน่งเดิมอย่าง เซปป์ แบล็ตเตอร์ อดีตประธานฯ ชาวสวิส ที่ยึดเก้าอี้มา 18 ปี โดนโทษแบนห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลทุกระดับเป็นเวลา 6 ปี
ในการประชุม ณ เมืองซูริก ที่ผ่านมา มีตัวแทนจากประเทศไทย คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่ร่วมเดินทางไปลงคะแนนด้วย พร้อมกับทีมงาน พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก เลขาธิการสมาคมฯ และ นายพาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาฯ ฝ่ายต่างประเทศ ซึ่ง “บิ๊กอ๊อด” ได้เลือกออกเสียงให้ผู้สมัครรายใดนั้นยังถูกเก็บเป็นความลับ
อย่างไรก็ตามแม้หลายฝ่ายมองว่า พล.ต.อ.สมยศ อาจจะเทใจให้แคนดิเดตจากเอเชียรายใดรายหนึ่ง ด้วยเหตุผลความสัมพันธ์ทางด้านเชื้อชาติ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อประเทศมากกว่า แต่กระนั้นการที่ อินฟานติโน เป็นผู้ชนะก็ส่งผลดีต่อลูกหนังไทยไม่ด้อยกว่ากัน เผลอๆอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
วงในเล่ามาว่าคืนก่อนการเลือกตั้ง อินฟานติโน ได้เข้าไปพบ พล.ต.อ.สมยศ ถึงห้องพัก และได้ร่วมดริงค์สนทนากันอย่างถูกคอจนดึกดื่น แม้เจ้าตัวจะมีภารกิจที่ต้องสะสางกองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าก็ตาม เรียกว่าให้ความสำคัญกับชาติเล็กๆจากอาเซียนจนได้ใจกลับไปไม่น้อย โดยบทสนทนามีตั้งแต่เรื่องฟุตบอล จนถึงสัพเพเหระทั่วไป
ยิ่งไปกว่านั้นหลังได้รับชัยชนะ “ประธานฟีฟ่าป้ายแดง” ยังได้ให้คำมั่นสัญญากับ นายกบอลไทย ว่าจะช่วยซัพพอร์ททุกเรื่องที่ต้องการ อยากได้สิ่งใดขอให้บอก แถมยังรับปากว่าจะเดินทางมาเยี่ยมเยือนกรุงเทพฯอีกด้วย เพราะเจ้าตัวมองว่า ฟุตบอลไทย กำลังพัฒนาจนเป็นที่น่าจับตา โดยตอนนี้มีเงินสนับสนุนสำหรับประเทศไทยที่ค้างจ่ายอยู่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 71 ล้านบาท) ขอเพียงส่งแผนงานไปเสนอเท่านั้นว่าจะนำเงินมาใช้ทำอะไร
เหนืออื่นใด อินฟานติโน เป็นคนที่ทำงาน มีประสบการณ์ในยูฟ่ามากว่า 16 ปี เริ่มไต่เต้าตั้งแต่ตำแหน่งฝ่ายกฎหมาย ต่อด้วยผู้ช่วยเลขาธิการทั่วไป และเลขาธิการ ยุค มิเชล พลาตินี ก่อนจะก้าวถึงจุดสูงสุดในปัจจุบัน จึงทำให้ชาติสมาชิกสามารถพูดคุยและเข้าถึงได้แบบใกล้ชิด เข้าหาได้ง่ายกว่าการที่ประธานคนใหม่จะมาจากเชื้อพระวงศ์อย่างผู้สมัครจากเอเชียทั้ง 2 ราย ซึ่งกว่าจะได้พบถึงตัวต้องผ่านขั้นตอนต่างๆมากมาย
นอกจากนี้เจ้าตัวยังมีนโยบายต้องการเพิ่มจำนวนทีมใน ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย จากเดิม 32 ทีม เป็น 40 ทีม เพื่อให้โอกาสแก่ชาติเล็กๆได้เข้าร่วมแข่งขันมากขึ้น ซึ่งหากทวีปเอเชียได้โควตาเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อทัพ “ช้างศึก” อีกเช่นกัน
จะว่าไปก็เหมือนเป็นการรีเซตใหม่พร้อมกันทั้งฟีฟ่าและฟุตบอลไทย ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่าง เซปป์ แบล็ตเตอร์ กับ วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลไทย ก็เข้าขั้นซี้ปึ้ก แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็พัวพันกับข่าวฉาวจนโดนโทษแบนไปตามๆกัน ก่อนที่ทั้ง 2 องค์กร จะได้ผู้นำคนใหม่ในเวลาไล่เลี่ยกัน และทั้งสองคนยังชูธงกอบกู้ภาพพจน์ที่เสียไปของหน่วยงานกลับคืนมาเหมือนกันอีกต่างหาก การได้ก้าวไปด้วยแนวความคิดในทิศทางเดียวกัน อาจจะเป็นผลดีต่อไทยไม่มากก็น้อย