ผู้จัดการรายวัน 360 – วงการผู้ตัดสินไทยถึงคราวปฏิรูปครั้งใหญ่ หลังการเข้ามาของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่นั่งควบตำแหน่งนายใหญ่เชิ้ตดำพร้อมนำอดีตเปาอาวุโสมากประสบการณ์ มารับตำแหน่งคณะกรรมการ คอยควบคุม ตรวจตรา และลงโทษผู้ทำผิด เสมือนเป็นการคืนอำนาจแก่มืออาชีพอย่างแท้จริง โดยเริ่มงานแรกด้วยการสร้างมาตรฐานเรื่องสมรรถภาพความฟิตของร่างกาย
หลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้บรรจุชื่อตัวเองนั่งควบตำแหน่ง “ประธานคณะกรรมการพัฒนาผู้ตัดสินและผู้ควบคุมการแข่งขัน” ดูแลวงการเชิ้ตดำไทยทุกระดับด้วยตนเอง แทนที่ “เสธ.ตุ้ม” พล.อ.ชินเสณ ทองโกมล ที่กระเด็นตกเก้าอี้ พร้อมเชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากสหพันธ์ฟุตบอลเอเซีย (เอเอฟซี) 3 ราย มาช่วยงานในตำแหน่งที่ปรึกษา และเชิญอดีตผู้เปาอาวุโส ที่มีประสบการณ์อีก5 ราย มารับหน้าที่เป็นคณะกรรมการบริหาร นำโดย "เปาอั๋น" ผศ.ดร.ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ ที่รับหน้าที่เป็นประธานฝ่ายประเมินผู้ตัดสิน
ก่อนเดินเครื่องปฏิรูปวงการผู้ตัดสินเต็มตัว เริ่มตั้งแต่การยกเลิกโทษแบนของผู้ตัดสินทุกคนที่เคยได้รับ และเปิดอบรมพร้อมทดสอบสมรรถภาพผู้ตัดสินใหม่ทั้งหมด โดยไม่ปิดกั้นว่าจะเป็นใคร ซึ่งในจำนวนนั้นมี “เปาหนอม” ถนอม บริคุต เปาชื่อฉาว ที่ประกาศแขวนนกหวีดไปแล้ว รวมถึง “เปายะ” ชัยยะ มหาปราบ เปาดีกรีฟีฟ่าที่ถูกพักงาน เข้าร่วมด้วย โดยล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีผู้ตัดสิน และไลน์แมน กว่า 200 คน เข้าร่วมทดสอบสมรรถภาพที่ สนามกีฬากองทัพบก
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงการล้างไพ่วงการผู้ตัดสินว่า ที่ผ่านมามีข้อครหาเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสินมากมาย ซึ่งตนมองว่าเกิดจากมาตรฐานของผู้ตัดสินไทยที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ของเอเชียหรือฟีฟ่า จึงได้ให้ผู้ทรงคุณวุฒิ ช่วยปรับปรุงผู้ตัดสินให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานมากขึ้น เริ่มตั้งแต่การทดสอบสมรรถภาพใหม่ โดยมีแนวทาง 3 ข้อ คือ 1. ต้องพัฒนาสมรรถภาพร่างกายของผู้ตัดสิน ใครไม่ผ่านความฟิตตามเกณฑ์มาตรฐานต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าจะทดสอบผ่านเกณฑ์ 2.ต้องจัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ 3. ต้องพัฒนาคุณภาพผู้ตัดสิน ทางด้านองค์ความรู้ กฎ กติกา ใหม่ๆ และ การแก้ปัญหา การตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ ต้องนำมาศึกษา และจะต้องมีการทดสอบสมรรถภาพทุก 2-3 เดือน และอาจมีการมอบรางวัลผู้ตัดสินยอดเยี่ยมให้แก่ผู้ที่ทำหน้าที่ได้ดี
พร้อมกันนี้ “บิ๊กอ๊อด” เผยต่อว่าจะมีการจ่ายค่าจ้างแก่ผู้ตัดสินเพิ่มมากขึ้นเพื่อป้องกันการล็อคผลการแข่งขัน “เรื่องรายได้ของผู้ตัดสินจะมากขึ้นแน่นอน แต่ตอนนี้ยังตอบอะไรไม่ได้เลย เพราะผมยังไม่ได้รับมอบงานจากผู้บริหารชุดเก่า ไม่รู้ว่าสมาคมฯมีงบประมาณในส่วนนี้ปีละเท่าไหร่ ซึ่งผมได้มอบหมายให้ผู้ทรงคุณวุฒิเขียนแผนเรื่องสิทธิประโยชน์ที่ผู้ตัดสินจะได้รับตามความเหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตามการเบิกจ่ายเงินจะต้องทำให้รวดเร็ว ไม่มีปัญหาล่าช้า โดยเราจะมีการเปิดอบรมเรื่องการทำเอกสารเบิกจ่ายเงินค่าทำหน้าที่หรือเบี้ยเลี้ยง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่บางครั้งผู้ตัดสินไม่ให้ความสนใจและทำไม่ถูกต้องจึงทำให้เกิดความล่าช้าเอง ดังนั้นเมื่อทุกอย่างมีมาตรฐานชัดเจน วงการผู้ตัดสินก็จะมีมาตรฐานมากขึ้น ปัญหาการกำหนดผลการแข่งขันล่วงหน้าก็จะหมดไป แต่จะเป็นที่ยอมรับของแฟนบอลหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผลงานการทำหน้าที่ของตัวผู้ตัดสินเอง”
ด้าน “เปาแป๊ก” ปรัชญา เพิ่มพานิช ผู้ตัดสินมากประสบการณ์ที่ถูกเชิญมาร่วมงานด้วย กล่าวว่า “วันนี้เห็นได้ชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีผู้ตัดสินกว่า 200 คนเข้ามาร่วมทดสอบสมรรถภาพ ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ไม่มีมาแล้วกว่า 4 ปี แต่ทั้งนี้ยังเป็นเพียงการเทสต์เบื้องต้น เนื่องจากมีปัญหาเรื่องอุปกรณ์ต่างๆที่ยังไม่ได้รับการส่งมอบจากผู้บริหารชุดเก่า โดยจากนี้ทุกสัปดาห์จะมีการพบปะกันของผู้ตัดสินเพื่อพูดคุยเรื่องข้อผิดพลาดหรือเหตุการณ์ต่างๆที่ตนเจอมาในแต่ละสนาม ก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่ผู้ตัดสินจากทั่วประเทศ เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อนำเคสต่างๆมาหารือ ซึ่งจะทำให้ผู้ตัดสินมีหลักการและแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่แบบเดียวกัน
“นอกจากนี้เราจะต้องเรียกความมั่นใจให้กับผู้ตัดสิน เพราะที่ผ่านมาหลายคนต้องลงทำหน้าที่ภายใต้ความกดดัน ช่วงพักครึ่งต้องห้ามมีการรับโทรศัพท์ หรือให้คนอื่นเข้าไปยุ่งเด็ดขาด ต้องมีสมาธิในการทำงาน ส่วนการเลือกผู้ตัดสินลงทำหน้าที่นั้น ในไทยลีกเราจะใช้ผู้ตัดสินเฉพาะระดับฟีฟ่า ที่มีอยู่ 5 คน และผู้ตัดสินชั้น 1 ที่มีมาตรฐานเรื่องสมรรถภาพร่างกายตามเกณฑ์เท่านั้น ส่วนผู้ตัดสินระดับชั้นรองลงมาจะไปตัดสินในลีกระดับล่าง ส่วนเรื่องรายได้นั้นจะมีการเพิ่ม ค่าพาหนะรวมถึงสวัสดิการต่างๆของผู้ตัดสินให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันการรับงานได้ ถ้าพวกเขามีการเป็นอยู่ที่ดีขึ้นการรับเงินก็คงไม่เกิดขึ้น”
ขณะที่ "เปาโค้ช" ศิวกร ภูอุดม เชิ้ตดำดีกรีฟีฟ่าอิลิท หนึ่งเดียวของไทย ฝากงานถึงผู้บริหารชุดใหม่ส่งท้ายว่า “อย่างแรกที่ต้องทำเร่งด่วนคือต้องจัดอบรมกติกา อัพเดทความรู้ล่าสุดที่เอเอฟซีใช้อยู่ในปัจจุบัน ให้ผู้ตัดสินทุกคนได้รับรู้ เพราะหลายเป้นผู้ตัดสินเก่า อาจจะห่างไปบ้าง ดังนั้นจึงต้องอัพเดทให้ทุกคนมีพื้นเดียวกันก่อน เมื่อลงปทำหน้าที่ในสนามก็จะมีพื้นฐานเดียวกัน ส่วนเรื่องความฟิตก็ต้องเรียกเทสต์ใหม่ให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญคือเรื่องอุปกรณ์ โดยเฉพาะการสื่อสาร ซึ่งจะทำให้ช่วยป้องกันข้อผิดพลาด เพราะผู้ตัดสินจะสามารถสื่อสารกับผู้ช่วยที่มองเห็นเกมในสนามอีกมุมมอง นอกจากนี้จะต้องผลักดันให้คนไทยได้เข้าเป็นผู้อบรมผู้ตัดสินของเอเอฟซี เพื่อที่นำความรู้มาสอนให้กับผู้ตัดสินไทย เพราะตอนนี้ไม่มีคนไทยที่ทำหน้าที่ตรงนี้เลย”