คอลัมน์ “ริงไซด์ ไฟต์คลับ” โดย “ลักษมณ์ นันทิวัชรินทร์”
ช่วงนี้มีนักมวยไทยขึ้นสังเวียนในรายการที่เกี่ยวกับแชมป์โลก “ของจริง” หลายรายต่อเนื่อง ดังนั้นสัปดาห์นี้เลยยังวนเวียนอยู่กับวงการมวยสากลอาชีพ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.พ.) แชมป์โลกรุ่นแบนตัมเวทขององค์กรมวยโลก WBO “เจ้าบอมบ์” ผึ้งหลวง ส.สิงห์อยู่ ได้ฤกษ์ป้องกันเข็มขัดแชมป์โลกสมัยที่ 2 ของตัวเองเป็นไฟต์แรก
โดยพบกับผู้ท้าชิงชาวฟิลิปปินส์ เจโทร พาบุสตัน เจ้าของสถิติไม่ธรรมดา ชก 34 ไฟต์ ชนะ 26 (น็อกแค่ 7) แพ้ 3 แถมเสมออีก 6 ไฟต์ ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาที่จะมีนักมวยชกออกผล “เสมอ” เยอะถึงขนาดนี้ โดยไฟต์นี้ถือเป็นไฟต์แรกในชีวิตของ พาบุสตัน ที่ออกมาชกนอกประเทศ แถมยังเป็นไฟต์แรกที่ชกกับนักมวยที่ไม่ใช่นักชกฟิลิปปินส์ด้วยกันอีกต่างหาก ด้านประสบการณ์การชกต้องถือว่าแชมป์โลกชาวไทยเป็นต่อสุดกู่
ไฟต์นี้ ผึ้งหลวง เป็นมวยขวา ส่วนผู้ท้าชิงเป็นมวยซ้าย ทำให้จังหวะออกหมัดทั้งคู่จะพุ่งมาทางเดียวกัน ดังนั้นแค่ยกแรกเท่านั้นนักชกฟิลิปปินส์ก็มีแผลแตกบริเวณหน้าผากเหนือคิ้วซ้าย โดยที่มองไม่ถนัดว่าเกิดจากหมัดหรือศีรษะชนกันแน่ จากนั้นทาง ผึ้งหลวง เดินหน้าตุ๊ยหมัดขวาเข้าเป้างามๆ หลายดอกชนิดที่ พาบุสตัน เปิดตำรารับไม่ทัน ยก 3 ผู้ท้าชิงแตกซ้ำอีกแผลบริเวณหางคิ้วซ้าย ซึ่งดูแล้วน่าจะแน่นอนว่าแตกเพราะศีรษะชนกัน พอยก 7 นักชกฟิลิปปินส์แตกซ้ำอีก แต่คราวนี้ไปแตกหลังกกหูขวา ถือว่าไม่ธรรมดาที่นักมวยจะมีแผลแตกบริเวณด้านหลังศีรษะ เรียกว่าคู่นี้ซดกันนัวเนียมากจริงๆ
สุดท้ายขึ้นยก 8 กรรมการตัดสินใจยุติการชกและเนื่องจากแผลแตกเกิดจากอุบัติเหตุ ก็ต้องมาดูคะแนนกัน ซึ่ง ผึ้งหลวง ทำคะแนนนำสุดกู่ ชนะไปสบายๆ ถือเป็นการชนะทางเทคนิค (TD – Technical Decision) ป้องกันเข็มขัดแชมป์โลกไว้ได้
ไฟต์นี้ “เจ้าบอมบ์” ทำผลงานได้ดี ออกหมัดได้แม่นยำ แถมชิงจังหวะออกได้ก่อนผู้ท้าชิงตลอด แต่การป้องกันตัวยังมีปัญหาเพราะตามสไตล์ต้องเป็นฝ่ายลงทุนเดินเข้าหา อาศัยการบล็อกหมัดทำได้ดีหลายจังหวะ แต่ก็มีโดนหมัดสวนเข้าเต็มๆ หลายหมัด ถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่หมัดมีน้ำหนักกว่านี้ก็คงบอบช้ำไม่น้อย นอกนั้นก็เป็นปัญหาเดิมๆ ของนักมวยไทย 90% คือไม่มีหมัดแย็ปรบกวน คอยแต่จะแย็ปกระแทก ไม่มีหมัดชุด และยืนเต็มเท้าไม่มีฟุตเวิร์ค แต่ในภาพรวมก็ต้องถือว่าไฟต์นี้โชว์ฟอร์มสวยงาม
ส่วนไฟต์หน้าน่าจะเป็น “ไฟต์บังคับ” ก็คงต้องเตรียมตัวให้พร้อม ผึ้งหลวง เป็นมวยชกสนุก ได้ลุ้น น่าจะถูกใจแฟนมวยให้ได้เชียร์กันไปอีกนานๆ
ช่วงนี้มีนักมวยไทยขึ้นสังเวียนในรายการที่เกี่ยวกับแชมป์โลก “ของจริง” หลายรายต่อเนื่อง ดังนั้นสัปดาห์นี้เลยยังวนเวียนอยู่กับวงการมวยสากลอาชีพ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.พ.) แชมป์โลกรุ่นแบนตัมเวทขององค์กรมวยโลก WBO “เจ้าบอมบ์” ผึ้งหลวง ส.สิงห์อยู่ ได้ฤกษ์ป้องกันเข็มขัดแชมป์โลกสมัยที่ 2 ของตัวเองเป็นไฟต์แรก
โดยพบกับผู้ท้าชิงชาวฟิลิปปินส์ เจโทร พาบุสตัน เจ้าของสถิติไม่ธรรมดา ชก 34 ไฟต์ ชนะ 26 (น็อกแค่ 7) แพ้ 3 แถมเสมออีก 6 ไฟต์ ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาที่จะมีนักมวยชกออกผล “เสมอ” เยอะถึงขนาดนี้ โดยไฟต์นี้ถือเป็นไฟต์แรกในชีวิตของ พาบุสตัน ที่ออกมาชกนอกประเทศ แถมยังเป็นไฟต์แรกที่ชกกับนักมวยที่ไม่ใช่นักชกฟิลิปปินส์ด้วยกันอีกต่างหาก ด้านประสบการณ์การชกต้องถือว่าแชมป์โลกชาวไทยเป็นต่อสุดกู่
ไฟต์นี้ ผึ้งหลวง เป็นมวยขวา ส่วนผู้ท้าชิงเป็นมวยซ้าย ทำให้จังหวะออกหมัดทั้งคู่จะพุ่งมาทางเดียวกัน ดังนั้นแค่ยกแรกเท่านั้นนักชกฟิลิปปินส์ก็มีแผลแตกบริเวณหน้าผากเหนือคิ้วซ้าย โดยที่มองไม่ถนัดว่าเกิดจากหมัดหรือศีรษะชนกันแน่ จากนั้นทาง ผึ้งหลวง เดินหน้าตุ๊ยหมัดขวาเข้าเป้างามๆ หลายดอกชนิดที่ พาบุสตัน เปิดตำรารับไม่ทัน ยก 3 ผู้ท้าชิงแตกซ้ำอีกแผลบริเวณหางคิ้วซ้าย ซึ่งดูแล้วน่าจะแน่นอนว่าแตกเพราะศีรษะชนกัน พอยก 7 นักชกฟิลิปปินส์แตกซ้ำอีก แต่คราวนี้ไปแตกหลังกกหูขวา ถือว่าไม่ธรรมดาที่นักมวยจะมีแผลแตกบริเวณด้านหลังศีรษะ เรียกว่าคู่นี้ซดกันนัวเนียมากจริงๆ
สุดท้ายขึ้นยก 8 กรรมการตัดสินใจยุติการชกและเนื่องจากแผลแตกเกิดจากอุบัติเหตุ ก็ต้องมาดูคะแนนกัน ซึ่ง ผึ้งหลวง ทำคะแนนนำสุดกู่ ชนะไปสบายๆ ถือเป็นการชนะทางเทคนิค (TD – Technical Decision) ป้องกันเข็มขัดแชมป์โลกไว้ได้
ไฟต์นี้ “เจ้าบอมบ์” ทำผลงานได้ดี ออกหมัดได้แม่นยำ แถมชิงจังหวะออกได้ก่อนผู้ท้าชิงตลอด แต่การป้องกันตัวยังมีปัญหาเพราะตามสไตล์ต้องเป็นฝ่ายลงทุนเดินเข้าหา อาศัยการบล็อกหมัดทำได้ดีหลายจังหวะ แต่ก็มีโดนหมัดสวนเข้าเต็มๆ หลายหมัด ถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่หมัดมีน้ำหนักกว่านี้ก็คงบอบช้ำไม่น้อย นอกนั้นก็เป็นปัญหาเดิมๆ ของนักมวยไทย 90% คือไม่มีหมัดแย็ปรบกวน คอยแต่จะแย็ปกระแทก ไม่มีหมัดชุด และยืนเต็มเท้าไม่มีฟุตเวิร์ค แต่ในภาพรวมก็ต้องถือว่าไฟต์นี้โชว์ฟอร์มสวยงาม
ส่วนไฟต์หน้าน่าจะเป็น “ไฟต์บังคับ” ก็คงต้องเตรียมตัวให้พร้อม ผึ้งหลวง เป็นมวยชกสนุก ได้ลุ้น น่าจะถูกใจแฟนมวยให้ได้เชียร์กันไปอีกนานๆ