คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
วงการลูกหนังไทยตอนนี้กำลังคึกคัก ทั้งการแย่งชิงเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยคนใหม่ รวมถึงข่าวการขายทีมของ บีอีซี เทโรศาสน และตลาดซื้อ-ขายนักเตะ ที่หลายสโมสรต่างเสริมทัพกันได้โดนใจแฟนคลับ แต่ “TIMEOUT” ฉบับนี้ขอแอบอาสาพาผู้อ่านไปพบกับความประทับใจของ 2 สโมสรไทย ที่เดินทางไปแข่งขันกับทีมในชาติอาเซียนช่วงปรีซีซันที่ผ่านมา
สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเดินทางไปชมเกมนัดพิเศษประเดิมปรีซีซัน 2016 ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในรายการ “ช้าง บุรีรัมย์ อาเซียนทัวร์ ครั้งที่ 1” สนามแรกยกพลเยือน กัมพูชา ออลสตาร์ ที่โอลิมปิก สเตเดียม ในกรุงพนมเปญ ซึ่งผลการแข่งขันเป็นที่ทราบกันแล้วว่า “ปราสาทสายฟ้า” เป็นฝ่ายปราชัยในการดวลจุดโทษด้วยสกอร์รวม 5-6 หลังเสมอกันในเวลา 2-2
แต่สิ่งที่ต้องหยิบมาเล่าให้ฟังก็คือบรรยากาศในสนามวันดังกล่าวที่เรียกได้ว่าขนลุกเลยทีเดียว ก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ “ออลสตาร์เขมร” เพิ่งเปิดบ้านรับการมาเยือนของ “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ทีมดังจากประเทศไทย และเป็นฝ่ายกำชัยไปด้วยสกอร์ 4-3 ทำให้ช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้กับแฟนบอลเจ้าถิ่นจนคึกคักอย่างเห็นได้ชัด เกมกับบุรีรัมย์จึงมีคนดูแน่นล้นสนามรวมแล้วกว่า 6 หมื่นคน ทั้งที่ความจุจริงที่ระบุไว้มีเพียง 5 หมื่นที่นั่งเท่านั้น จึงปรากฎภาพน่ารักที่กองเชียร์ปีนป่ายแออัดกันบนอัฒจันทร์แย่งกันเกาะหาที่ดูกัน
ส่วนโมเมนตัมในสนามล้วนเข้าทางเจ้าบ้าน แม้จะโดนอาคันตุกะจากแดนสยามออกนำก่อนถึงสองครั้งแต่ก็ตีเสมอได้ทั้งสองครั้ง โดยเฉพาะประตู 2-2 ที่ จัน วัฒนากา ศูนย์หน้าขวัญใจ ยิงเน้นๆตุงตาข่ายฉลองวันเกิดของตัวเอง ยิ่งเรียกเสียงเฮลั่นจากทั้งสเตเดียม พร้อมรวมใจกันร้องเพลงแฮปปีเบิร์ธเดย์อวยพร
โดยเกมดังกล่าวนอกจากจะเป็นการกระชับมิตรแล้ว ยังเป็นการฉลองครบรอบ 65 ปี ทางการทูตระหว่าง ไทย กับ กัมพูชา พร้อมนำรายได้จากการแข่งขันมอบเป็นกุศลให้แก่โรงพยาบาลเด็กในกัมพูชาเป็นเงินกว่า 6 หมื่นเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.168 ล้านบาท) อีกทั้งยังมีการแสดงคอนเสิร์ตหลังจบเกม ทางเจ้าบ้านจึงจัดเต็มทั้งแสงสีเสียงอย่างจุใจให้แฟนๆได้เต็มอิ่ม
ขณะที่ภาพรวมต่างๆและคุณภาพชีวิตของประเทศกัมพูชาในวันนี้ ต้องยอมรับว่ายังล้าหลังกว่าไทยอยู่เยอะ อย่างน้อยมีไม่ต่ำกว่า 10 ปี แต่วันนี้ฟุตบอลเริ่มเข้ามามีส่วนในชีวิตของผู้คนชาวเขมรมากขึ้น ทุกคนรู้จัก จัน วัฒนากา ยกย่องเป็นฮีโร่ไม่ต่างจากที่บ้านเราเชิดชู “เดอะ ตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน เมื่อสมัยค้าแข้ง
ผมโตมากับยุคที่ประเทศไทยมักจะเชิญทีมดังจากยุโรปมาร่วมแข่งขันกระชับมิตร ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล บาร์เซโลนา หรือรีล มาดริด หลายหนที่ฟาดแข้งกับทีมชาติไทย ก่อนจะเปลี่ยนมาเล่นกับทีมเฉพาะกิจในปัจจุบันเช่น ออลสตาร์ไทยพรีเมียร์ลีก ไทยแลนด์ออลสตาร์ ทรูออลสตาร์ หรือสิงห์ออลสตาร์ ฯลฯ
แต่ปัจจุบันนี้กลายเป็นสโมสรไทยที่บุกไปสร้างความสนุกสนานให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน ชาติในอาเซียนต่างยอมรับและยกย่องยอดทีมจากไทยทั้งบุรีรัมย์และเอสซีจี เมืองทองฯ ส่งทีมรวมแข้งที่ดีที่สุดในลีกทั้งท้องถิ่นและต่างชาติมาร่วมฟาดฟัน มีคนดูควักกระเป๋าจ่ายเงินเข้าชมเกมเต็มสนาม จับจ่ายซื้อเสื้อและของที่ระลึกของสโมสรไทยอย่างล้นหลาม ทุกคนอยากมาดูแชมป์จากประเทศไทยตัวเป็นๆ แถมยังมีการเปิดคลินิคสอนศาสตร์ลูกหนังให้เยาวชนท้องถิ่นอีกต่างหาก ไม่ต่างจากวันที่สโมสรยักษ์ใหญ่จากต่างแดนยกพลมาเมืองไทย
ภาพดังกล่าวเป็นที่น่าประทับใจมาก และตอกย้ำความสำเร็จในสนามของศึก ไทย พรีเมียร์ ลีก ได้อย่างดี ปัจจุบันมี 2 ทีมหัวแถวที่โลดแล่นตีตลาดต่างประเทศแล้ว เชื่อว่าในอนาคตจะมีสโมสรไทยอีกหลายทีมที่เจริญรอยตาม ร่วมสร้างปรากฎการประกาศศักดาการเป็นลีกหมายเลข 1 ของอาเซียนอย่างแท้จริง
วงการลูกหนังไทยตอนนี้กำลังคึกคัก ทั้งการแย่งชิงเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยคนใหม่ รวมถึงข่าวการขายทีมของ บีอีซี เทโรศาสน และตลาดซื้อ-ขายนักเตะ ที่หลายสโมสรต่างเสริมทัพกันได้โดนใจแฟนคลับ แต่ “TIMEOUT” ฉบับนี้ขอแอบอาสาพาผู้อ่านไปพบกับความประทับใจของ 2 สโมสรไทย ที่เดินทางไปแข่งขันกับทีมในชาติอาเซียนช่วงปรีซีซันที่ผ่านมา
สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเดินทางไปชมเกมนัดพิเศษประเดิมปรีซีซัน 2016 ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในรายการ “ช้าง บุรีรัมย์ อาเซียนทัวร์ ครั้งที่ 1” สนามแรกยกพลเยือน กัมพูชา ออลสตาร์ ที่โอลิมปิก สเตเดียม ในกรุงพนมเปญ ซึ่งผลการแข่งขันเป็นที่ทราบกันแล้วว่า “ปราสาทสายฟ้า” เป็นฝ่ายปราชัยในการดวลจุดโทษด้วยสกอร์รวม 5-6 หลังเสมอกันในเวลา 2-2
แต่สิ่งที่ต้องหยิบมาเล่าให้ฟังก็คือบรรยากาศในสนามวันดังกล่าวที่เรียกได้ว่าขนลุกเลยทีเดียว ก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ “ออลสตาร์เขมร” เพิ่งเปิดบ้านรับการมาเยือนของ “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ทีมดังจากประเทศไทย และเป็นฝ่ายกำชัยไปด้วยสกอร์ 4-3 ทำให้ช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้กับแฟนบอลเจ้าถิ่นจนคึกคักอย่างเห็นได้ชัด เกมกับบุรีรัมย์จึงมีคนดูแน่นล้นสนามรวมแล้วกว่า 6 หมื่นคน ทั้งที่ความจุจริงที่ระบุไว้มีเพียง 5 หมื่นที่นั่งเท่านั้น จึงปรากฎภาพน่ารักที่กองเชียร์ปีนป่ายแออัดกันบนอัฒจันทร์แย่งกันเกาะหาที่ดูกัน
ส่วนโมเมนตัมในสนามล้วนเข้าทางเจ้าบ้าน แม้จะโดนอาคันตุกะจากแดนสยามออกนำก่อนถึงสองครั้งแต่ก็ตีเสมอได้ทั้งสองครั้ง โดยเฉพาะประตู 2-2 ที่ จัน วัฒนากา ศูนย์หน้าขวัญใจ ยิงเน้นๆตุงตาข่ายฉลองวันเกิดของตัวเอง ยิ่งเรียกเสียงเฮลั่นจากทั้งสเตเดียม พร้อมรวมใจกันร้องเพลงแฮปปีเบิร์ธเดย์อวยพร
โดยเกมดังกล่าวนอกจากจะเป็นการกระชับมิตรแล้ว ยังเป็นการฉลองครบรอบ 65 ปี ทางการทูตระหว่าง ไทย กับ กัมพูชา พร้อมนำรายได้จากการแข่งขันมอบเป็นกุศลให้แก่โรงพยาบาลเด็กในกัมพูชาเป็นเงินกว่า 6 หมื่นเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.168 ล้านบาท) อีกทั้งยังมีการแสดงคอนเสิร์ตหลังจบเกม ทางเจ้าบ้านจึงจัดเต็มทั้งแสงสีเสียงอย่างจุใจให้แฟนๆได้เต็มอิ่ม
ขณะที่ภาพรวมต่างๆและคุณภาพชีวิตของประเทศกัมพูชาในวันนี้ ต้องยอมรับว่ายังล้าหลังกว่าไทยอยู่เยอะ อย่างน้อยมีไม่ต่ำกว่า 10 ปี แต่วันนี้ฟุตบอลเริ่มเข้ามามีส่วนในชีวิตของผู้คนชาวเขมรมากขึ้น ทุกคนรู้จัก จัน วัฒนากา ยกย่องเป็นฮีโร่ไม่ต่างจากที่บ้านเราเชิดชู “เดอะ ตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน เมื่อสมัยค้าแข้ง
ผมโตมากับยุคที่ประเทศไทยมักจะเชิญทีมดังจากยุโรปมาร่วมแข่งขันกระชับมิตร ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล บาร์เซโลนา หรือรีล มาดริด หลายหนที่ฟาดแข้งกับทีมชาติไทย ก่อนจะเปลี่ยนมาเล่นกับทีมเฉพาะกิจในปัจจุบันเช่น ออลสตาร์ไทยพรีเมียร์ลีก ไทยแลนด์ออลสตาร์ ทรูออลสตาร์ หรือสิงห์ออลสตาร์ ฯลฯ
แต่ปัจจุบันนี้กลายเป็นสโมสรไทยที่บุกไปสร้างความสนุกสนานให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน ชาติในอาเซียนต่างยอมรับและยกย่องยอดทีมจากไทยทั้งบุรีรัมย์และเอสซีจี เมืองทองฯ ส่งทีมรวมแข้งที่ดีที่สุดในลีกทั้งท้องถิ่นและต่างชาติมาร่วมฟาดฟัน มีคนดูควักกระเป๋าจ่ายเงินเข้าชมเกมเต็มสนาม จับจ่ายซื้อเสื้อและของที่ระลึกของสโมสรไทยอย่างล้นหลาม ทุกคนอยากมาดูแชมป์จากประเทศไทยตัวเป็นๆ แถมยังมีการเปิดคลินิคสอนศาสตร์ลูกหนังให้เยาวชนท้องถิ่นอีกต่างหาก ไม่ต่างจากวันที่สโมสรยักษ์ใหญ่จากต่างแดนยกพลมาเมืองไทย
ภาพดังกล่าวเป็นที่น่าประทับใจมาก และตอกย้ำความสำเร็จในสนามของศึก ไทย พรีเมียร์ ลีก ได้อย่างดี ปัจจุบันมี 2 ทีมหัวแถวที่โลดแล่นตีตลาดต่างประเทศแล้ว เชื่อว่าในอนาคตจะมีสโมสรไทยอีกหลายทีมที่เจริญรอยตาม ร่วมสร้างปรากฎการประกาศศักดาการเป็นลีกหมายเลข 1 ของอาเซียนอย่างแท้จริง