คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
ภายหลังเกิดการมีบุคคลบางคนอ้างว่าตนเป็นตัวแทนของสโมสร สุราษฎร์ธานี เอฟซี ได้ยื่นฟ้องร้องศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน รวมถึงให้มีคำสั่งคุ้มครองระงับการเลือกตั้งตัวแทนลีกภูมิภาค 30 เสียง วันที่ 22 มกราคมนี้ โดยฟ้อง กกท. FAT NC และ สมาคมฟุตบอล เนื่องจาก มีปัญหาในเรื่องของสิทธิ์ทับซ้อนในการทำทีมและสิทธิ์การเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ส่อแววจะทำให้สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ "ฟีฟา" แบนฟุตบอลไทย เนื่องจากมองว่ามีการแทรกแซงฟุตบอลในประเทศจากหน่วยงานภาครัฐ โดยไม่มีการสนใจการทั้งท้วงจากฝ่ายต่างๆ
ซึ่ง "เสธ.โต" พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ประธาน FAT NC ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก "ฟีฟา" โดยตรงก็มองว่ามีกระบวนการที่ต้องการทำให้วงการฟุตบอลไทยโดนแบน ด้วยการสร้างสถานการณ์ต่างๆ นานาให้นำไปสู่จุดนั้นในบั้นปลาย และยอมรับว่าตนเองพยายามอย่างสุดความสามารถที่สุดแล้วที่จะให้ทุกอย่างจบสวย ได้นายกสมาคมที่เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายจากการเลือกตั้งอันบริสุทธิ์ ถึงเวลานี้ "เปาบุ้นจิ้น" แห่งวงการกีฬาเองยืนยันไม่ท้อ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ลดราวาศอกกับการหวงอำนาจไปเสียที ถึงกับร้องขอไปยังหน่วยงานรัฐที่ดูแลงานด้านนี้ รบกวนช่วยหน่อย ไม่ต้องยื่นมือมาหยิบจับอะไร เพียงแต่ต้องมีทางออก เพื่อทางรอดให้วงการฟุตบอลไม่ต้องถูกแบน
ถึงตรงนี้คงมีใครหลายคนสงสัยว่าถ้าต้องโดนแบนกันจริงๆ จะมีอะไรกระทบมาถึงวงการลูกหนังบ้านเราบ้าง เริ่มแรกทีมชาติไทยทุกระดับชั้นจะถูกห้ามแข่งขันทุกรายการที่ "ฟีฟา" และ "เอเอฟซี" รับรอง ไม่ว่าจะเป็นระดับภูมิภาค ระดับทวีป และระดับโลก อันประกอบด้วย ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบ 2 กลุ่มเอฟ, ต่อด้วยฟุตบอลยู 19 ชิงแชมป์เอเชีย รอบสุดท้าย ที่บาห์เรน ระหว่างวันที่ 13-30 ตุลาคมนี้, ฟุตบอลยู 16 ชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 15 กันยายน - 2 ตุลาคม, ฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย ที่อุซเบกิสถาน ระหว่างวันที่ 10-21 กุมภาพันธ์, ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 ที่เมียนมาร์ กับ ฟิลิปปินส์ ปลายปีนี้
ลองสมมติว่าหากได้รับโทษแบนสัก 2 ปี ผลกระทบที่ตามมาคือ นักฟุตบอลทีมชาติที่กำลังพัฒนาฝีเท้า หวังยกระดับเทียบชั้นกับทีมชั้นนำของทวีป ก็จะหมดโอกาสประลองฝีเท้ากับชาติอื่นๆ เพราะคงไม่มีใครอยากมาเตะกับทีมที่โดน "ฟีฟา" ตัดหางปล่อยวัด เตะไปก็ไร้คะแนนไปขยับเรตติ้งโลก นักฟุตบอลไทยก็ได้เล่นแต่ในลีกเท่านั้น และน่าจะส่งผลกระทบไปถึงอันดับของทีมชาติ ที่เมื่อไม่มีโปรแกรมแข่งก็ไม่มีแต้ม จากที่เราเคยขยับมาได้ถึงอันดับ 121 ของโลก และเบอร์ 1 ของอาเซียน ก็หมดกันพอดี
ไม่เพียงเท่านี้ยังหมายรวมถึงฟุตบอลระดับสโมสร อาทิ เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ที่มีทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และ ชลบุรี เอฟซี ได้สิทธิ์เข้าร่วม ยังครับ ยังมีอีกที่ต้องกระทบโดยตรง คือการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินฟุตบอล, ฟุตซอล ชาวไทยที่จะได้รับโอกาสในการไปทำหน้าที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์และรายได้ในรายการต่างๆ ที่ "ฟีฟา" รับรองก็หมดโอกาสไปทันที
หากงานนี้ต้อนโดนแบนแฟนบอลของทีม สุราษฎร์ธานี เอฟซี ก็ต้องกลายเป็นแพะรับบาปจากการกระทำของสตรีเจ้าน้ำตาเพียงคนเดียว เพราจะถูกประณามจากแฟนบอลทั้งประเทศว่าปล่อยให้คนแบบนี้ฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเป็นเงื่อนไขให้ประเทศชาติต้องเสียผลประโยชน์ได้อย่างไร ฐานะที่ตัวเองก็เป็นคนลุ่มน้ำตาปีด้วยอีกคน ขอร่วมประณามบุคคลที่กล้าเอาประเทศชาติเป็นตัวประกันครั้งนี้ด้วย...
ภายหลังเกิดการมีบุคคลบางคนอ้างว่าตนเป็นตัวแทนของสโมสร สุราษฎร์ธานี เอฟซี ได้ยื่นฟ้องร้องศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน รวมถึงให้มีคำสั่งคุ้มครองระงับการเลือกตั้งตัวแทนลีกภูมิภาค 30 เสียง วันที่ 22 มกราคมนี้ โดยฟ้อง กกท. FAT NC และ สมาคมฟุตบอล เนื่องจาก มีปัญหาในเรื่องของสิทธิ์ทับซ้อนในการทำทีมและสิทธิ์การเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ส่อแววจะทำให้สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ "ฟีฟา" แบนฟุตบอลไทย เนื่องจากมองว่ามีการแทรกแซงฟุตบอลในประเทศจากหน่วยงานภาครัฐ โดยไม่มีการสนใจการทั้งท้วงจากฝ่ายต่างๆ
ซึ่ง "เสธ.โต" พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ประธาน FAT NC ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก "ฟีฟา" โดยตรงก็มองว่ามีกระบวนการที่ต้องการทำให้วงการฟุตบอลไทยโดนแบน ด้วยการสร้างสถานการณ์ต่างๆ นานาให้นำไปสู่จุดนั้นในบั้นปลาย และยอมรับว่าตนเองพยายามอย่างสุดความสามารถที่สุดแล้วที่จะให้ทุกอย่างจบสวย ได้นายกสมาคมที่เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายจากการเลือกตั้งอันบริสุทธิ์ ถึงเวลานี้ "เปาบุ้นจิ้น" แห่งวงการกีฬาเองยืนยันไม่ท้อ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ลดราวาศอกกับการหวงอำนาจไปเสียที ถึงกับร้องขอไปยังหน่วยงานรัฐที่ดูแลงานด้านนี้ รบกวนช่วยหน่อย ไม่ต้องยื่นมือมาหยิบจับอะไร เพียงแต่ต้องมีทางออก เพื่อทางรอดให้วงการฟุตบอลไม่ต้องถูกแบน
ถึงตรงนี้คงมีใครหลายคนสงสัยว่าถ้าต้องโดนแบนกันจริงๆ จะมีอะไรกระทบมาถึงวงการลูกหนังบ้านเราบ้าง เริ่มแรกทีมชาติไทยทุกระดับชั้นจะถูกห้ามแข่งขันทุกรายการที่ "ฟีฟา" และ "เอเอฟซี" รับรอง ไม่ว่าจะเป็นระดับภูมิภาค ระดับทวีป และระดับโลก อันประกอบด้วย ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบ 2 กลุ่มเอฟ, ต่อด้วยฟุตบอลยู 19 ชิงแชมป์เอเชีย รอบสุดท้าย ที่บาห์เรน ระหว่างวันที่ 13-30 ตุลาคมนี้, ฟุตบอลยู 16 ชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ 15 กันยายน - 2 ตุลาคม, ฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย ที่อุซเบกิสถาน ระหว่างวันที่ 10-21 กุมภาพันธ์, ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 ที่เมียนมาร์ กับ ฟิลิปปินส์ ปลายปีนี้
ลองสมมติว่าหากได้รับโทษแบนสัก 2 ปี ผลกระทบที่ตามมาคือ นักฟุตบอลทีมชาติที่กำลังพัฒนาฝีเท้า หวังยกระดับเทียบชั้นกับทีมชั้นนำของทวีป ก็จะหมดโอกาสประลองฝีเท้ากับชาติอื่นๆ เพราะคงไม่มีใครอยากมาเตะกับทีมที่โดน "ฟีฟา" ตัดหางปล่อยวัด เตะไปก็ไร้คะแนนไปขยับเรตติ้งโลก นักฟุตบอลไทยก็ได้เล่นแต่ในลีกเท่านั้น และน่าจะส่งผลกระทบไปถึงอันดับของทีมชาติ ที่เมื่อไม่มีโปรแกรมแข่งก็ไม่มีแต้ม จากที่เราเคยขยับมาได้ถึงอันดับ 121 ของโลก และเบอร์ 1 ของอาเซียน ก็หมดกันพอดี
ไม่เพียงเท่านี้ยังหมายรวมถึงฟุตบอลระดับสโมสร อาทิ เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ที่มีทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และ ชลบุรี เอฟซี ได้สิทธิ์เข้าร่วม ยังครับ ยังมีอีกที่ต้องกระทบโดยตรง คือการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินฟุตบอล, ฟุตซอล ชาวไทยที่จะได้รับโอกาสในการไปทำหน้าที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์และรายได้ในรายการต่างๆ ที่ "ฟีฟา" รับรองก็หมดโอกาสไปทันที
หากงานนี้ต้อนโดนแบนแฟนบอลของทีม สุราษฎร์ธานี เอฟซี ก็ต้องกลายเป็นแพะรับบาปจากการกระทำของสตรีเจ้าน้ำตาเพียงคนเดียว เพราจะถูกประณามจากแฟนบอลทั้งประเทศว่าปล่อยให้คนแบบนี้ฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเป็นเงื่อนไขให้ประเทศชาติต้องเสียผลประโยชน์ได้อย่างไร ฐานะที่ตัวเองก็เป็นคนลุ่มน้ำตาปีด้วยอีกคน ขอร่วมประณามบุคคลที่กล้าเอาประเทศชาติเป็นตัวประกันครั้งนี้ด้วย...