คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
สปอตไลท์ทุกดวงกำลังจับจ้องไปที่อนาคตของ บีอีซี เทโรศาสน ที่สถานการณ์กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย อยู่ระหว่างดิ้นรนเฮือกสุดท้าย หวังอยู่รอดบนเวทีลีกสูงสุดต่อไปด้วย 3 แต้มวิเศษ
ย้อนความคร่าวๆ ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการพิจารณามารยาท วินัย และข้อประท้วง มีคำสั่งปรับผลการแข่งขันให้ บีอีซี เทโรศาสน เป็นฝ่ายเปิดบ้านชนะ แบงค็อก ยูไนเต็ด 3-0 เนื่องจากทีมเยือนเปลี่ยนตัวผู้เล่นต่างชาติผิดกฎ แต่หลังจากนั้นคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง อุทธรณ์โทษ กลับมีมติยืนผลตามเดิมคือให้ "แข้งเทพ" ชนะ 1-0 ดังนั้น “มังกรไฟ” จึงต้องดิ้นรนฟ้องศาลเพื่อหวังจะได้ 3 แต้มมาชุบชีวิต จากผลงานอันย่ำแย่จบที่ 16 ของตาราง ต้องร่วงลงไปเล่น ยามาฮ่า ลีก วัน (ดิวิชั่น 1) ฤดูกาลหน้า
โดยขณะนี้คดีอยู่บนชั้นศาลรอพิจารณา ซึ่งล่าสุด “มังกรไฟ” ได้ยื่นเรื่องกระทุ้งไปอีกรอบเพื่อให้มีการไต่สวนฉุกเฉิน พร้อมขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองระงับการตกชั้นของทีม เพราะหากยืดเยื้อจะไม่เป็นผลดี ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะมีการตัดสินเมื่อไหร่
แต่ที่เป็นประเด็นใหญ่โตก็คือ การเปรยเลิกทำทีมของ ไบรอัน มาร์คา ประธานสโมสรฯ หากทีมต้องตกชั้น รวมถึง “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ มิดฟิลด์ตัวเก่ง ที่คุณพ่อออกมาให้ข่าวว่าจะย้ายทีมแน่นอนหากต้องเล่นในลีกรอง ซึ่งหากเป็นจริงก็ไม่ต่างจากการปิดฉากตำนานกว่า 19 ปี ของ “มังกรไฟ” แม้จะมีผู้เข้ามาอุ้มทีมต่อ แต่เชื่อว่าเหล่าสตาร์ดีกรีทีมชาติไทยของทีมจะทยอยตบเท้าออกตามแน่นอน
ขณะที่ฝั่ง สระบุรี เอฟซี ที่ส่อเป็นผู้โชคร้ายต้องตกชั้นแทน บีอีซี เทโรฯ หาก “มังกรไฟ” ชนะคดีได้ 3 แต้มวิเศษ ล่าสุด วีระพล อดิเรกสาร ประธานทีมฯ ยืนยันแล้วว่าถ้าออกมาเช่นนี้ตนคงวางมือ และจะน้อมรับคำตัดสินของศาล ไม่ยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อ จึงส่งให้ “ขุนศึก” ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนบอลอย่างล้นหลามว่ามีสปิริต ต่างจาก “มักรไฟ” ที่พยายามดิ้นไม่ยอมตกชั้น
อย่างไรก็ตามหากเปิดใจมองมุมกว่า ต้องบอกว่าการกระทำของ บีอีซี เทโรฯ นั้นถือเป็นการรักษาสิทธิ์ของตัวเอง กรณีที่แบงค็อกเปลี่ยนผู้เล่นต่างชาติผิดกฎนั้นเชื่อเถอะว่าในทางปฏิบัติทุกทีมรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเช่นใด แต่หาก “แข้งเทพ” จะอาศัยช่องโหว่วัดด้วยข้อกฎหมาย ทางฝ่ายผู้เสียผลประโยชน์ก็ต้องคัดค้านสู้กันเป็นธรรมดา ยิ่งทีมอยู่ในสภาพจนตรอกไม่มีทางเลือกแล้ว
ทีนี้มีแฟนบอลบางกลุ่มมองว่า ถ้าแบงค็อกทำผิดจริง ทำไมไม่หักแต้มแค่ทีมเดียว ทำไมต้องปรับผลให้คู่แข่งชนะด้วย เสมือนเป็นการเอาเปรียบทีมอื่น ซึ่งเรื่องนี้อธิบายไม่ยาก มีกฎของเอเอฟซีระบุไว้อยู่แล้ว ลองคิดดูว่าหากผู้เล่นผิดกฎที่ส่งลงไปดันจับพลัดจับผลูยิงประตูได้ หรือมีส่วนสำคัญต่อรูปเกม คงไม่เป็นธรรมแน่นอน สหพันธ์ลูกหนังเอเชียจึงออกกฎเหล็กดักคอไว้ก่อน
ผู้โชคร้ายที่อาจต้องตกชั้นแทนอย่างสระบุรี การเป็นทีมรองบ่อนจึงได้รับกำลังใจเป็นพิเศษ จนมองข้ามไปว่าปัญหานี้ไม่ได้เกี่ยวกับทีมเลย หากศาลตัดสินออกมาเป็นเช่นไรก็ต้องก้มหน้ารับกรรม ไม่มีสิทธิ์คัดค้าน เพราะไม่ได้มีเรื่องฟ้องร้องกับใคร ไม่มีใครเป็นคู่กรณี หวังแต่เพียงให้แบงค็อกอุทธรณ์สู้หากศาลตัดสินว่าผิดเท่านั้น
สุดท้ายฝ่ายที่ปวดหัวที่สุดคงหนีไม่พ้น ทีพีแอล ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากศาลตัดสินว่าแบงค็อกไม่ผิด ก็ต้องใช้กฎเปลี่ยนตัวเดิมต่อไป หากมีการแก้ไขนั่นเท่ากับแสดงว่ากฎที่ตนร่างไว้ยังไม่เคลียร์จนทำให้เกิดช่องโหว่มีทีมต้องเสียประโยชน์ หรือหากเบื้องต้นศาลมีคำสั่งคุ้มครองออกมา ก็ต้องรีบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อสำหรับฤดูกาลหน้า จะแขวน “มังกรไฟ” ไว้เหมือนที่เคยทำกับ ศรีสะเกษ หรือจะมีทางออกที่ดีกว่านี้
สปอตไลท์ทุกดวงกำลังจับจ้องไปที่อนาคตของ บีอีซี เทโรศาสน ที่สถานการณ์กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย อยู่ระหว่างดิ้นรนเฮือกสุดท้าย หวังอยู่รอดบนเวทีลีกสูงสุดต่อไปด้วย 3 แต้มวิเศษ
ย้อนความคร่าวๆ ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการพิจารณามารยาท วินัย และข้อประท้วง มีคำสั่งปรับผลการแข่งขันให้ บีอีซี เทโรศาสน เป็นฝ่ายเปิดบ้านชนะ แบงค็อก ยูไนเต็ด 3-0 เนื่องจากทีมเยือนเปลี่ยนตัวผู้เล่นต่างชาติผิดกฎ แต่หลังจากนั้นคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง อุทธรณ์โทษ กลับมีมติยืนผลตามเดิมคือให้ "แข้งเทพ" ชนะ 1-0 ดังนั้น “มังกรไฟ” จึงต้องดิ้นรนฟ้องศาลเพื่อหวังจะได้ 3 แต้มมาชุบชีวิต จากผลงานอันย่ำแย่จบที่ 16 ของตาราง ต้องร่วงลงไปเล่น ยามาฮ่า ลีก วัน (ดิวิชั่น 1) ฤดูกาลหน้า
โดยขณะนี้คดีอยู่บนชั้นศาลรอพิจารณา ซึ่งล่าสุด “มังกรไฟ” ได้ยื่นเรื่องกระทุ้งไปอีกรอบเพื่อให้มีการไต่สวนฉุกเฉิน พร้อมขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองระงับการตกชั้นของทีม เพราะหากยืดเยื้อจะไม่เป็นผลดี ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะมีการตัดสินเมื่อไหร่
แต่ที่เป็นประเด็นใหญ่โตก็คือ การเปรยเลิกทำทีมของ ไบรอัน มาร์คา ประธานสโมสรฯ หากทีมต้องตกชั้น รวมถึง “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ มิดฟิลด์ตัวเก่ง ที่คุณพ่อออกมาให้ข่าวว่าจะย้ายทีมแน่นอนหากต้องเล่นในลีกรอง ซึ่งหากเป็นจริงก็ไม่ต่างจากการปิดฉากตำนานกว่า 19 ปี ของ “มังกรไฟ” แม้จะมีผู้เข้ามาอุ้มทีมต่อ แต่เชื่อว่าเหล่าสตาร์ดีกรีทีมชาติไทยของทีมจะทยอยตบเท้าออกตามแน่นอน
ขณะที่ฝั่ง สระบุรี เอฟซี ที่ส่อเป็นผู้โชคร้ายต้องตกชั้นแทน บีอีซี เทโรฯ หาก “มังกรไฟ” ชนะคดีได้ 3 แต้มวิเศษ ล่าสุด วีระพล อดิเรกสาร ประธานทีมฯ ยืนยันแล้วว่าถ้าออกมาเช่นนี้ตนคงวางมือ และจะน้อมรับคำตัดสินของศาล ไม่ยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อ จึงส่งให้ “ขุนศึก” ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนบอลอย่างล้นหลามว่ามีสปิริต ต่างจาก “มักรไฟ” ที่พยายามดิ้นไม่ยอมตกชั้น
อย่างไรก็ตามหากเปิดใจมองมุมกว่า ต้องบอกว่าการกระทำของ บีอีซี เทโรฯ นั้นถือเป็นการรักษาสิทธิ์ของตัวเอง กรณีที่แบงค็อกเปลี่ยนผู้เล่นต่างชาติผิดกฎนั้นเชื่อเถอะว่าในทางปฏิบัติทุกทีมรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเช่นใด แต่หาก “แข้งเทพ” จะอาศัยช่องโหว่วัดด้วยข้อกฎหมาย ทางฝ่ายผู้เสียผลประโยชน์ก็ต้องคัดค้านสู้กันเป็นธรรมดา ยิ่งทีมอยู่ในสภาพจนตรอกไม่มีทางเลือกแล้ว
ทีนี้มีแฟนบอลบางกลุ่มมองว่า ถ้าแบงค็อกทำผิดจริง ทำไมไม่หักแต้มแค่ทีมเดียว ทำไมต้องปรับผลให้คู่แข่งชนะด้วย เสมือนเป็นการเอาเปรียบทีมอื่น ซึ่งเรื่องนี้อธิบายไม่ยาก มีกฎของเอเอฟซีระบุไว้อยู่แล้ว ลองคิดดูว่าหากผู้เล่นผิดกฎที่ส่งลงไปดันจับพลัดจับผลูยิงประตูได้ หรือมีส่วนสำคัญต่อรูปเกม คงไม่เป็นธรรมแน่นอน สหพันธ์ลูกหนังเอเชียจึงออกกฎเหล็กดักคอไว้ก่อน
ผู้โชคร้ายที่อาจต้องตกชั้นแทนอย่างสระบุรี การเป็นทีมรองบ่อนจึงได้รับกำลังใจเป็นพิเศษ จนมองข้ามไปว่าปัญหานี้ไม่ได้เกี่ยวกับทีมเลย หากศาลตัดสินออกมาเป็นเช่นไรก็ต้องก้มหน้ารับกรรม ไม่มีสิทธิ์คัดค้าน เพราะไม่ได้มีเรื่องฟ้องร้องกับใคร ไม่มีใครเป็นคู่กรณี หวังแต่เพียงให้แบงค็อกอุทธรณ์สู้หากศาลตัดสินว่าผิดเท่านั้น
สุดท้ายฝ่ายที่ปวดหัวที่สุดคงหนีไม่พ้น ทีพีแอล ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากศาลตัดสินว่าแบงค็อกไม่ผิด ก็ต้องใช้กฎเปลี่ยนตัวเดิมต่อไป หากมีการแก้ไขนั่นเท่ากับแสดงว่ากฎที่ตนร่างไว้ยังไม่เคลียร์จนทำให้เกิดช่องโหว่มีทีมต้องเสียประโยชน์ หรือหากเบื้องต้นศาลมีคำสั่งคุ้มครองออกมา ก็ต้องรีบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อสำหรับฤดูกาลหน้า จะแขวน “มังกรไฟ” ไว้เหมือนที่เคยทำกับ ศรีสะเกษ หรือจะมีทางออกที่ดีกว่านี้
