คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
การเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เริ่มสนุกขึ้นมาทุกที หลังจากที่เข้าสู่สภาวะแช่แข็งมานับเดือน เพราะล่าสุด คณะกรรมการกลาง จัดการเลือกตั้งฯ ที่มี “เสธ.โต” พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ เป็นประธาน ได้ประกาศวันหย่อนบัตรออกมาแล้วคือ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559
พร้อมกันนี้ยังระบุวันปิดรับสมัครแคนดิเดตเสร็จสรรพคือวันที่ 11 มกราคม ปีเดียวกัน ส่งให้ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมลูกหนังไทย ที่โดนแบน 90 วันจากฟีฟา ในข้อหาด้านจริยธรรม ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2558 จะพ้นโทษกลับมาทันเส้นตายพอดีคือวันที่ 10 มกราคม 2559 ซึ่งเจ้าของตำแหน่ง 4 สมัย ยืนยันแล้วว่าจะลงป้องกันแชมป์แน่นอน และเอกสารก็เตรียมเรียบร้อยแล้วเสียด้วย เหลือเพียงลุ้นให้ลูกหนังโลกไม่มีบทลงโทษเพิ่มเติมออกมาเท่านั้น
ทว่าที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการประกาศลงท้าชิงของ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ยุคทหารครองเมือง ตามคำเชิญชวนของ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก อดีตผู้ลงสมัครฯ และเพื่อนร่วมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ที่แย้มว่าจะหลีกทางไปรับหน้าที่เลขาธิการของสมาคมฯในทีมเดียวกันแทน
ซึ่งการที่ ผบ.ตร. คนที่ 10 ของประเทศไทย ย่างกรายเข้ามาสู่วงการลูกหนัง ทำให้หลายฝ่ายชวนคิดไปในทิศทางเดียวกันว่า ต้องมาจากสายของฝั่ง นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าของแชมป์โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลล่าสุดแน่นอน เพราะจากประวัติและสายสัมพันธ์ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ มีชื่อคลุกคลีอยู่กับเหล่าบิ๊ก “ปราสาทสายฟ้า” มากมายทั้งในและนอกวงการกีฬา
เมื่อครั้งที่ตนดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมโบว์ลิ่งเเห่งประเทศไทย เมื่อปี 2553-2556 ก็มี นายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คนปัจจุบัน รับหน้าที่เป็นอุปนายกสมาคมฯฝ่ายต่างประเทศ ให้ ก่อนที่ “บิ๊กหนก” จะก้าวไปนั่งแท่น นายกสมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย ก็ได้เชิญ พล.ต.อ.สมยศ มารับหน้าที่เลขาธิการฯ ตอบแทน หรือแม้แต่การที่เจ้าตัวยอมรับตรงๆว่าตนเป็นเพื่อนกับ นายเนวิน ตั้งแต่สมัยที่ประธานเซราะกราวยังโลดแล่นอยู่ในแวดวงการเมือง และเคยทำงานร่วมกันมาแล้วมากมายจนสายป่านยาวจนถึงปัจจุบัน
ส่วนนโยบายนั้น “บิ๊กอ๊อด” ชูเรื่องความโปร่งใส บริสุทธิ์ยุติธรรมเป็นหลัก รวมถึงหวังที่จะพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้ก้าวไกลกว่าที่เป็นอยู่ ตามสโลแกนผู้ผดุงความยุติธรรม “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” ซึ่งย้อนกลับไปสมาคมฟุตบอลไทย เคยมีนายใหญ่สีกากีมาแล้วในสมัย พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ยมนาค ปี 2504-2515 และ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ (ยศก่อนถูกถอดภายหลังต้องคดี) ปี 2530-2538
ดังนั้นการชิงเหลี่ยมกันระหว่าง “บังยี” ที่มีสายทหารอยู่ในทีมมากมาย กับ “บิ๊กอ๊อด” ที่มีทีมตำรวจคอยหนุนคงจะสนุกแน่แท้ เพราะดูแล้วสรรพกำลังสูสี คงไม่มีฝ่ายใดยอมปราชัยกันง่ายๆ
การเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เริ่มสนุกขึ้นมาทุกที หลังจากที่เข้าสู่สภาวะแช่แข็งมานับเดือน เพราะล่าสุด คณะกรรมการกลาง จัดการเลือกตั้งฯ ที่มี “เสธ.โต” พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ เป็นประธาน ได้ประกาศวันหย่อนบัตรออกมาแล้วคือ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559
พร้อมกันนี้ยังระบุวันปิดรับสมัครแคนดิเดตเสร็จสรรพคือวันที่ 11 มกราคม ปีเดียวกัน ส่งให้ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมลูกหนังไทย ที่โดนแบน 90 วันจากฟีฟา ในข้อหาด้านจริยธรรม ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2558 จะพ้นโทษกลับมาทันเส้นตายพอดีคือวันที่ 10 มกราคม 2559 ซึ่งเจ้าของตำแหน่ง 4 สมัย ยืนยันแล้วว่าจะลงป้องกันแชมป์แน่นอน และเอกสารก็เตรียมเรียบร้อยแล้วเสียด้วย เหลือเพียงลุ้นให้ลูกหนังโลกไม่มีบทลงโทษเพิ่มเติมออกมาเท่านั้น
ทว่าที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการประกาศลงท้าชิงของ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ยุคทหารครองเมือง ตามคำเชิญชวนของ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก อดีตผู้ลงสมัครฯ และเพื่อนร่วมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ที่แย้มว่าจะหลีกทางไปรับหน้าที่เลขาธิการของสมาคมฯในทีมเดียวกันแทน
ซึ่งการที่ ผบ.ตร. คนที่ 10 ของประเทศไทย ย่างกรายเข้ามาสู่วงการลูกหนัง ทำให้หลายฝ่ายชวนคิดไปในทิศทางเดียวกันว่า ต้องมาจากสายของฝั่ง นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าของแชมป์โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลล่าสุดแน่นอน เพราะจากประวัติและสายสัมพันธ์ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ มีชื่อคลุกคลีอยู่กับเหล่าบิ๊ก “ปราสาทสายฟ้า” มากมายทั้งในและนอกวงการกีฬา
เมื่อครั้งที่ตนดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมโบว์ลิ่งเเห่งประเทศไทย เมื่อปี 2553-2556 ก็มี นายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คนปัจจุบัน รับหน้าที่เป็นอุปนายกสมาคมฯฝ่ายต่างประเทศ ให้ ก่อนที่ “บิ๊กหนก” จะก้าวไปนั่งแท่น นายกสมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย ก็ได้เชิญ พล.ต.อ.สมยศ มารับหน้าที่เลขาธิการฯ ตอบแทน หรือแม้แต่การที่เจ้าตัวยอมรับตรงๆว่าตนเป็นเพื่อนกับ นายเนวิน ตั้งแต่สมัยที่ประธานเซราะกราวยังโลดแล่นอยู่ในแวดวงการเมือง และเคยทำงานร่วมกันมาแล้วมากมายจนสายป่านยาวจนถึงปัจจุบัน
ส่วนนโยบายนั้น “บิ๊กอ๊อด” ชูเรื่องความโปร่งใส บริสุทธิ์ยุติธรรมเป็นหลัก รวมถึงหวังที่จะพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้ก้าวไกลกว่าที่เป็นอยู่ ตามสโลแกนผู้ผดุงความยุติธรรม “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” ซึ่งย้อนกลับไปสมาคมฟุตบอลไทย เคยมีนายใหญ่สีกากีมาแล้วในสมัย พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ยมนาค ปี 2504-2515 และ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ (ยศก่อนถูกถอดภายหลังต้องคดี) ปี 2530-2538
ดังนั้นการชิงเหลี่ยมกันระหว่าง “บังยี” ที่มีสายทหารอยู่ในทีมมากมาย กับ “บิ๊กอ๊อด” ที่มีทีมตำรวจคอยหนุนคงจะสนุกแน่แท้ เพราะดูแล้วสรรพกำลังสูสี คงไม่มีฝ่ายใดยอมปราชัยกันง่ายๆ