คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ในที่สุดทัพนักเตะทีมชาติไทย ชุด ยู-19 ภายใต้การคุมบังเหียนของ “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด ก็สามารถผ่านเข้าไปเล่นศึกชิงแชมป์เอเชีย 2016 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำฝีมือของลูกหนังไทยชั่วโมงนี้ต่อจากชุด ยู-23 และ ยู-16 ที่ตีตั๋วไปก่อนหน้า
ทัพ “ช้างศึก” ยู-19 ดีกรีแชมป์อาเซียน 2015 โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมในศึกชิงแชมป์เอเชีย “เอเอฟซี ยู-19 แชมเปียนชิป 2016” รอบคัดเลือก กลุ่มเอช ด้วยการกำชัยแบบคลีนชีต 3 นัดติด เหนือ ไต้หวัน 3-0 นอร์เทิร์น มาเรียนา 7-0 และ สิงคโปร์ 3-0 ก่อนจะปิดท้ายด้วยการบดกับ เกาหลีใต้ อย่างไม่เป็นรอง แม้สุดท้ายจะพ่ายไป 1-2 คว้าอันดับ 2 กลุ่ม แต่ภาพรวมยังดีพอที่จะติดโควตาพระรองที่ดีที่สุด 5 ทีมจาก 10 กลุ่ม ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย ที่บาห์เรน ระหว่างวันที่ 13-30 ตุลาคม ปีหน้า
เกม 3 นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่ม ที่เจอกับทีมรองบ่อนคงไม่สามารถนำมาวัดอะไรได้มาก แต่แมตช์สุดท้ายกับ เกาหลีใต้ ช่วยตอกย้ำความมั่นใจถึงจุดยืนของทีมชาติไทยเวลานี้เต็มตัว ซึ่ง “โสมขาว” ไม่ได้ส่งชุดที่ดีที่สุดมาชิงชัย และเราได้เล่นในบ้านท่ามกลางเสียงเชียร์ ทำให้ขุนพล ยู-19 อาศัยความได้เปรียบเหล่านี้เดินเกมบดขยี้เข้าใส่ทีมระดับท็อปของเอเชียอย่างไม่เกรงศักดิ์ศรี แต่สุดท้ายต้องปราชัยด้วยความไม่ละเอียดของตัวเอง
เรื่องลูกแฮนด์บอลของแข้งพลังโสมที่เป็นประตูชัย คงไม่ต้องสาธยาย เพราะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ในเกมลูกหนังอยู่แล้ว แต่ที่น่าคาใจก็คือ ตลอด 90 นาที ไทยเป็นฝ่ายครองบอลบุกแทบจะฝ่ายเดียว โดยเฉพาะช่วง 12 นาทีสุดท้ายที่ได้เปรียบตัวผู้เล่นหลังเกาหลีใต้โดนใบแดง แต่สุดท้ายไม่สามารถฉวยโอกาสปิดสกอร์ได้ หนำซ้ำยังมาเสียประตูชัยให้คู่แข่ง
ซึ่งเรื่องการจบสกอร์ในจังหวะสุดท้ายของไทยนับเป็นปัญหาที่เด่นชัดตลอด 4 นัดที่ผ่านมา แม้ในทีมจะมี 2 มิดฟิลด์พรสวรรค์อย่าง “ยิม” วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ และ “โก้” สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ ที่โชว์คลาสให้เห็นแล้วว่าเหนือกว่าผู้เล่นในรุ่นอายุเดียวกัน คอยสร้างสรรค์เกมและป้อนบอลให้เพื่อนหลายสิบจังหวะก็ตาม
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า แข้งช้างศึก ยู-19 ทั้ง 23 คน ได้รับบทเรียนมากมายจากเกมกับ เกาหลีใต้ ที่ผ่านมาแน่นอน หลังจากตบสมันมาตลอดตั้งแต่รายการชิงแชมป์อาเซียน ทั้งเรื่องแทคติกการเล่นที่ต้องห้ำหั่นกับคู่แข่งที่มีศักยภาพด้านร่างกายเหนือกว่า ตลอดจนการควบคุมอารมณ์ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน
จากนี้ยังมีเวลาอีกกว่า 1 ปีในการเตรียมทีมแก้ไขข้องบกพร่องก่อนถึงรอบสุดท้าย ซึ่งเป็นรายการสำคัญ เพราะนอกจากจะเป็นบทพิสูจน์ฝีเท้าในเวทีระดับเอเชียของจริงแล้ว ยังคัด 4 ทีมสุดท้ายไปเล่นศึก ยู-20 ชิงแชมป์โลก ปี 2017 ที่เกาหลีใต้ ด้วยเช่นกัน (หากเจ้าภาพติด 1-4 โควตาจะหล่นมาให้ทีมอันดับ 5) โดย ไทย ถูกวางอยู่ในโถ 2 ร่วมกับ ญี่ปุ่น จี และ ยูเออี มีสิทธิ์ที่จะโครจรไปร่วมสายกับ (โถ 1) บาห์เรน(เจ้าภาพ), กาตาร์, เกาหลีเหนือ, อุซเบกิสถาน (โถ 3) ออสเตรเลีย, อิรัก, เกาหลีใต้, เยเมน (โถ 4) อิหร่าน, เวียดนาม, ซาอุดิอาระเบีย และ ทาจิกิสถาน
ที่สำคัญทีมชุดนี้ทุกคนมีความสามารถเฉพาะตัวและทีมเวิร์คที่สูงอยู่แล้ว หากช่วงเวลาที่เหลือได้รับโอกาสจากสโมสรต้นสังกัดได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง กระดูกก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และเชื่อว่าจะสามารถสู้กับทีมระดับท็อปของเอเชียได้สูสีแน่นอน
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
ในที่สุดทัพนักเตะทีมชาติไทย ชุด ยู-19 ภายใต้การคุมบังเหียนของ “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด ก็สามารถผ่านเข้าไปเล่นศึกชิงแชมป์เอเชีย 2016 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำฝีมือของลูกหนังไทยชั่วโมงนี้ต่อจากชุด ยู-23 และ ยู-16 ที่ตีตั๋วไปก่อนหน้า
ทัพ “ช้างศึก” ยู-19 ดีกรีแชมป์อาเซียน 2015 โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมในศึกชิงแชมป์เอเชีย “เอเอฟซี ยู-19 แชมเปียนชิป 2016” รอบคัดเลือก กลุ่มเอช ด้วยการกำชัยแบบคลีนชีต 3 นัดติด เหนือ ไต้หวัน 3-0 นอร์เทิร์น มาเรียนา 7-0 และ สิงคโปร์ 3-0 ก่อนจะปิดท้ายด้วยการบดกับ เกาหลีใต้ อย่างไม่เป็นรอง แม้สุดท้ายจะพ่ายไป 1-2 คว้าอันดับ 2 กลุ่ม แต่ภาพรวมยังดีพอที่จะติดโควตาพระรองที่ดีที่สุด 5 ทีมจาก 10 กลุ่ม ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย ที่บาห์เรน ระหว่างวันที่ 13-30 ตุลาคม ปีหน้า
เกม 3 นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่ม ที่เจอกับทีมรองบ่อนคงไม่สามารถนำมาวัดอะไรได้มาก แต่แมตช์สุดท้ายกับ เกาหลีใต้ ช่วยตอกย้ำความมั่นใจถึงจุดยืนของทีมชาติไทยเวลานี้เต็มตัว ซึ่ง “โสมขาว” ไม่ได้ส่งชุดที่ดีที่สุดมาชิงชัย และเราได้เล่นในบ้านท่ามกลางเสียงเชียร์ ทำให้ขุนพล ยู-19 อาศัยความได้เปรียบเหล่านี้เดินเกมบดขยี้เข้าใส่ทีมระดับท็อปของเอเชียอย่างไม่เกรงศักดิ์ศรี แต่สุดท้ายต้องปราชัยด้วยความไม่ละเอียดของตัวเอง
เรื่องลูกแฮนด์บอลของแข้งพลังโสมที่เป็นประตูชัย คงไม่ต้องสาธยาย เพราะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ในเกมลูกหนังอยู่แล้ว แต่ที่น่าคาใจก็คือ ตลอด 90 นาที ไทยเป็นฝ่ายครองบอลบุกแทบจะฝ่ายเดียว โดยเฉพาะช่วง 12 นาทีสุดท้ายที่ได้เปรียบตัวผู้เล่นหลังเกาหลีใต้โดนใบแดง แต่สุดท้ายไม่สามารถฉวยโอกาสปิดสกอร์ได้ หนำซ้ำยังมาเสียประตูชัยให้คู่แข่ง
ซึ่งเรื่องการจบสกอร์ในจังหวะสุดท้ายของไทยนับเป็นปัญหาที่เด่นชัดตลอด 4 นัดที่ผ่านมา แม้ในทีมจะมี 2 มิดฟิลด์พรสวรรค์อย่าง “ยิม” วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ และ “โก้” สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ ที่โชว์คลาสให้เห็นแล้วว่าเหนือกว่าผู้เล่นในรุ่นอายุเดียวกัน คอยสร้างสรรค์เกมและป้อนบอลให้เพื่อนหลายสิบจังหวะก็ตาม
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า แข้งช้างศึก ยู-19 ทั้ง 23 คน ได้รับบทเรียนมากมายจากเกมกับ เกาหลีใต้ ที่ผ่านมาแน่นอน หลังจากตบสมันมาตลอดตั้งแต่รายการชิงแชมป์อาเซียน ทั้งเรื่องแทคติกการเล่นที่ต้องห้ำหั่นกับคู่แข่งที่มีศักยภาพด้านร่างกายเหนือกว่า ตลอดจนการควบคุมอารมณ์ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน
จากนี้ยังมีเวลาอีกกว่า 1 ปีในการเตรียมทีมแก้ไขข้องบกพร่องก่อนถึงรอบสุดท้าย ซึ่งเป็นรายการสำคัญ เพราะนอกจากจะเป็นบทพิสูจน์ฝีเท้าในเวทีระดับเอเชียของจริงแล้ว ยังคัด 4 ทีมสุดท้ายไปเล่นศึก ยู-20 ชิงแชมป์โลก ปี 2017 ที่เกาหลีใต้ ด้วยเช่นกัน (หากเจ้าภาพติด 1-4 โควตาจะหล่นมาให้ทีมอันดับ 5) โดย ไทย ถูกวางอยู่ในโถ 2 ร่วมกับ ญี่ปุ่น จี และ ยูเออี มีสิทธิ์ที่จะโครจรไปร่วมสายกับ (โถ 1) บาห์เรน(เจ้าภาพ), กาตาร์, เกาหลีเหนือ, อุซเบกิสถาน (โถ 3) ออสเตรเลีย, อิรัก, เกาหลีใต้, เยเมน (โถ 4) อิหร่าน, เวียดนาม, ซาอุดิอาระเบีย และ ทาจิกิสถาน
ที่สำคัญทีมชุดนี้ทุกคนมีความสามารถเฉพาะตัวและทีมเวิร์คที่สูงอยู่แล้ว หากช่วงเวลาที่เหลือได้รับโอกาสจากสโมสรต้นสังกัดได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง กระดูกก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และเชื่อว่าจะสามารถสู้กับทีมระดับท็อปของเอเชียได้สูสีแน่นอน
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
