เอเยนซี - แมตช์สุดท้ายของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ภายใต้สีเสื้อ ลิเวอร์พูล ที่สนาม แอนฟิลด์ สกอร์ไม่น่ารื่นรมย์นัก เมื่อพ่ายแพ้แก่ คริสตัล พาเลซ 1-3 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามไฮไลต์คือพิธีอำลากองกลางกัปตันทีมเป็นไปอย่างชื่นมื่นทุกอย่างจะถูกฝังไว้ในความทรงจำ แต่ปัญหาคือจากนี้ต่างหากว่า “หงส์แดง” จะเดินไปในทิศทางใดในปีหน้า เพราะดูแล้วปัญหาต้องสะสางเยอะเหลือเกิน
สำหรับงานเลี้ยงส่งถือว่าเป็นไปอย่างสมเกียรติผู้เล่นที่อยู่มาตั้งแต่ 6 ขวบก่อนขึ้นชุดใหญ่เมื่อปี 1998 ปีนี้ถือเป็นฤดูกาลที่ 17 บนอัฒจันทร์เต็มไปด้วยป้ายผ้าและข้อความเทิดทูนพร้อมด้วยแปลอักษรคำว่า “CAPTAIN” ก่อนที่นักเตะ ลิเวอร์พูล กับ พาเลซ ตั้งแถวปรบมือให้ เจอร์ราร์ด ที่จูง ลิลลี-เอลลา, ลอร์เดส และ เลซี ลูกสาว 3 คนเดินออกมา รวมถึงแข้งตำนานที่มาเป็นสักขีพยาน
เจอร์ราร์ด วัย 34 ปีที่ซัมเมอร์นี้จะกลายเป็นผู้เล่น ลอส แองเจลิส กาแล๊คซี แห่งศึก เมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า "เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก ผมทั้งกลัวและจะคิดถึง เพราะรักทุกนาทีที่นี่และเสียใจที่จะไม่ได้เล่นต่อหน้า เดอะ ค็อป อีกต่อไปแล้ว อยากขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคงเอ่ยชื่อไม่หมด เพื่อนร่วมทีม อดีตนักเตะ ที่ผลักดันจนตนมีวันนี้ สุดท้ายคือขอบคุณที่ได้มีส่วนสำคัญกับสโมสรที่สุดพิเศษนี้"
แน่นอนมีการพูดถึงกรณีที่ เจอร์ราร์ด ที่ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล มากกว่า 700 นัดรวมทุกรายการจะกลับมาถิ่น แอนฟิลด์ แบบยืมตัวเหมือนที่ผู้เล่นหลายคนทำกันเพื่อรักษาความฟิต เจ้าตัวเผยว่า "ผมไม่คิดว่าจะกลับมา เพราะจากวันนี้แล้วจะออกไปทุ่มเทให้กับต้นสังกัดใหม่ 2-3 ปี รวมถึงพิจารณาว่าจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง"
ส่วนคนที่จะมารับหน้าที่กัปตันแทน เจอร์ราร์ด แบบเต็มตัวในปีหน้าคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มิดฟิลด์หมายเลข 14 แต่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือ ลิเวอร์พูล เผยจริงๆ แล้วคงไม่มีวันหาทายาทได้ "เขาเป็นผู้เล่นที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ เพราะทุกเวลาที่ทุ่มเทให้กับทีมได้สร้างมาตรฐานที่ไม่มีที่ 2 ขึ้นมา จากนี้เราจะจบฤดูกาลและหาวิธียกระดับทีมช่วงซัมเมอร์ซึ่งถือว่าท้าทายมาก"
เจอร์ราร์ด ไม่เคยได้แชมป์ลีก นอกนั้นคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ 3 สมัย, ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย, ยูฟา คัพ 1 สมัย และ ยูฟา ซูเปอร์ คัพ 2 สมัย ไฮไลท์สำคัญที่สุดคือยิงประตูจุดประกายนัดชิงถ้วยยุโรปตามหลัง 0-3 กลับมาเสมอ เอซี มิลาน ในช่วงครึ่งหลัง ก่อนจะชนะจุดโทษ 3-2 คว้าแชมป์แบบสุดดรามา รวมถึงเป็นทริปเปิลแชมป์ฟุตบอลถ้วยปี 2001 ส่วนทีมชาติอังกฤษติดธง 114 นัดยิง 21 ประตู
เจอร์ราร์ด ถือเป็น 1 ในนักเตะที่มีความจงรักภักดีที่ผ่านมาเล่นให้กับสโมสรเดียว ซึ่ง ฟรานเชสโก ต็อตติ จอมทัพ โรมา ปัจจุบันวัย 38 ปีที่ก็ไม่เคยย้ายไปเล่นให้กับสังกัดอื่นถึงกับต้องออกมายกย่อง "ผมใช่ชื่อเขาติดท็อปทรีผู้เล่นที่ดีที่สุดของตนเอง ไม่ใช่แค่อังกฤษแต่หมายถึงในโลก แน่นอนผมอยากเล่นร่วมกัน เพราะเป็นคนที่มีความกระหายชัยชนะ นอกจากนี้การเล่นให้กับทีมๆ เดียวพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณได้รับความเคารพและยอมรับ"
ส่วน เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลัง ลิเวอร์พูล รุ่นราวคราวเดียวกับ เจอร์ราร์ด ที่แขวนสตั๊ดไปก่อน เผยว่า "เจอร์ราร์ด ได้สร้างรากฐานให้เกิดขึ้นภายในสนามไม่ใช่แค่กับแฟนบอลเท่านั้น เพราะเด็กๆ ที่ได้ดูลีลาเล่นทุกคนล้วนอยากจะโตขึ้นมาเป็นแบบเขาทั้งนั้น"
นักเตะแบบ เจอร์ราร์ด น่าจะแขวนสตั๊ดที่ แอนฟิลด์ แต่ด้วยวัยที่จะ 35 ปีวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ส่วนทางกับความกระหายที่จะลงสนาม ทำให้ ร็อดเจอร์ส ต้องตัดใจดร็อปเป็นตัวสำรอง เจ้าตัวจึงตัดสินใจย้ายออกไป
ดังนั้นคงเป็นซัมเมอร์ที่งานรัดตัวมากสำหรับ ร็อดเจอร์ส แม้ 2 ประตูที่เสียให้ พาเลซ จะอ้างว่าล้ำหน้ากับจุดโทษนั้นอยู่นอกเขตก็ตาม หากยังไม่ตกเก้าอี้ก็จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นกุนซือที่ใช่คนที่เกือบพา ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกรอบ 24 ปีเมื่อ 12 เดือนก่อน เพราะผลงานฤดูกาลนี้ถือว่าน่าผิดหวัง
ร็อดเจอร์ส ต้องโละนักเตะอย่าง มาริโอ บาโลเตลลี กองหน้าอิตาเลี่ยนที่ซื้อมาได้แค่ปีเดียวและหาคนที่ใช่เข้ามาเสริมทัพ แต่ก็ถือเป็นเรื่องยากไม่น้อยที่จะดูดแจ้งบิ๊กเนม เพราะไม่ได้ไปเล่น ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ส่วนโควตา ยูโรปา ลีก นั้นก็ลูกผีลูกคนตอนนี้เกาะที่ 5 มี 62 แต้มจาก 37 นัดทิ้ง ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ กับ เซาแธมป์ตัน 1 และ 2 แต้มตามลำดับ ต้องไปลุ้นกันนัดสุดท้ายที่จะไปเยือน สโต๊ค ซิตี วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคมนี้
ส่วนกรณีของ ราฮีม สเตอร์ลิง น่าจะต้องเร่งให้ทราบอนาคตในเร็ววันนี้ ไม่แข้งวัย 20 ปีก็ควรที่จะยอมรับสัญญาฉบับใหม่พร้อมค่าเหนื่อย 100,000 ปอนด์ (ประมาณ 5 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่ามากเกินพอ เพราะดูจากฟอร์มเกมกับ พาเลซ นั้นยังไงก็ไม่ได้เล่นดีไปกว่า ยานนิค โบลาซี แนวรุกทีมเยือนแต่อย่างใด แต่ถ้า "หงส์" จะขายปีกทีมชาติอังกฤษถ้ามีทีมใดยอมจ่ายถึง 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,500 ล้านบาท) ก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้มแล้ว
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *