เอเยนซี - หายห่างจากตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ มาตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งการหวนสู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ คำรบ 2 ของ โชเซ มูรินโญ ใช้เวลาจับจังหวะเพียงแค่ปีที่แล้วปีเดียว ก่อนที่ฤดูกาลนี้จะเข้าป้ายแชมป์อย่างเป็นทางการเมื่อผ่านพ้นไป 35 นัดหลังเปิดบ้านชนะ คริสตัล พาเลซ 1-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา แม้ว่า เชลซี จะถูกเสียงวิจารณ์มากมายจากบรรดาคอมเมนเตเตอร์ว่าไม่มีเสน่ห์ของคำว่า "ทีมที่ดีที่สุด" แต่ "เทเลกราฟ" สื่อเมืองผู้ดี ก็ซูฮกในความยอดเยี่ยม เนื่องจากมีองค์ประกอบคู่ควรกับคำว่าแชมป์ดัง 5 ปัจจัยต่อจากนี้
เสริมทัพถูกจุด - ถือว่า เชลซี ใช้เงินเกิดประโยชน์แก่ทีมมากที่สุดช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ผิดกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี, ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เนื่องจากเห็นผลทันตาไล่ตั้งแต่ ดิเอโก กอสตา จาก แอตเลติโก มาดริด ค่าตัว 32 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,600 ล้านบาท) ยิงได้ต่อเนื่องจนส่งทีมยึดจ่าฝูงทันทีที่ฤดูกาลเปิดฉาก รวมตอนนี้หอกทีมชาติสเปนกดไป 19 ประตูจาก 23 นัด จากนั้นแม้ว่าจะมีอาการบาดเจ็บเล่นงาน ทว่าทีมก็สามารถยืนระยะได้ ปิดท้ายด้วย เชส ฟาเบรกาส ห้องเครื่องจาก บาร์เซโลนา ที่มาคอยแจกจ่ายบอล ไม่ต้องปรับตัวนาน เพราะเคยสร้างชื่อกับ อาร์เซนอล นอกจากนี้ โชเซ มูรินโญ นายใหญ่ชาวโปรตุกีส ยังตัดสินใจเด็ดขาดมอบตำแหน่งมือ 1 ให้กับ ธิโบต์ คูร์ตัวส์ ที่กลับจาก "ตราหมี" แบบยืมตัว พร้อมส่ง ปีเตอร์ เช็ก ไปนั่งสำรอง ทุกอย่างที่กล่าวมาแทบทำให้แฟนๆ ลืมไปเลยว่าซื้อพลาดอย่าง ฟิลิเป หลุยส์ (กองหลัง) กับ ฮวน กวาดราโด (ปีก) ก็มีเหมือนกัน
โชเซ มูรินโญ - ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียด มูรินโญ แต่หนึ่งสิ่งที่ต้องยอมรับก็คือเป็นกุนซือที่มีประสบการณ์ กึ๋น กระหายชัยชนะ เน้นทุกรายละเอียดแม้ทดเวลาบาดเจ็บและมักจะวางแท็กติกได้ดีกว่าคู่แข่งเสมอ จึงทำให้ปีนี้ เชลซี ออกสตาร์ทนำแบบม้วนเดียวจบ เมื่อใดที่เข้าฝักก็ยิงกระจายเฉกเช่นนัดที่บุกถล่ม เอฟเวอร์ตัน 6-3 อัด สวอนซี ซิตี ทั้งเหย้าและเยือน 4-2 กับ 5-0 ตามลำดับ ซึ่งเมื่อแนวรุกมีปัญหาก็จะหันไปขันหลังบ้านให้แน่นขึ้นแทน แม้จะนำมาสู่เสียงวิจารณ์ "บอริง บอริง ฟุตบอล" สิ่งนี้เองนายใหญ่ชาวโปรตุกีสก็ได้เรียนรู้จากทีมเล็กที่เคยเผชิญ เนื่องจากเคยเจาะรถบัสของอีกฝ่ายไม่เข้ามาแล้ว
หัวจิตหัวใจ - อย่างที่กล่าวไปเบื้องต้นแล้วว่า เชลซี นำตั้งแต่วันแรกแบบม้วนจบจนเป็นแชมป์ ดังนั้นก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถยืนระยะได้อย่างเหลือเชื่อ 38 นัดกับการแข่งขันที่ถือว่าสาหัสของ พรีเมียร์ ลีก ที่ไร้ช่วงพักเบรกหนีหนาวรวมถึงมีฟุตบอลถ้วยอีก 3 รายการรวมศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก จนได้ดับเบิลแชมป์คือลีกสูงสุดกับ แคปิตอล วัน คัพ โดยในลีกนั้นไม่เคยแพ้ 2 เกมติดต่อกัน แถมไม่แพ้เลยในนบ้านตัวเอง จนทำให้ทีมที่หายใจรดต้นคออย่างแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี กับ อาร์เซนอล สะดุดไปเองต้องเจอกับช่วงดร็อปที่ถือเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ มูรินโญ เท่านั้นแต่รวมถึงสต๊าฟฟ์ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ที่วางตารางการทำงานได้ไร้ที่ติด้วย
ความฟิตนักเตะ - มีนักเตะ เชลซี 13 คนที่ลงเล่น 20 นัดหรือมากกว่าบนเวที พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ โดยเฉพาะคีย์แมนอย่าง เอเดน ฮาซาร์ด เจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ สมาคมฟุตบอลอาชีพอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ เล่นไปครบ 35 นัด ดังนั้นก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้พึ่ง กอสตา, ฟาเบรกาส หรือ จอห์น เทอร์รี คนใดคนหนึ่ง เรียกได้ว่าทุกคนมีส่วนร่วมกับความสำเร็จนี้ด้วย นอกจากนี้ยังไร้ปัญหานักเตะบาดเจ็บ ขนาดเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียมซึ่งมีสถิติว่าถูกทำฟาวล์มากที่สุดยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ดังนั้นนอกจากจะต้องยกความดีความชอบให้ทีมแพทย์แล้วต้องยอมรับด้วยว่ามีโชคผสมด้วยกับแชมป์ในครั้งนี้
ความสมดุล - มีหลายสโมสรบนเวที พรีเมียร์ ลีก ที่มีเกมรับโดดเด่น เห็นได้ชัดคือ เซาแธมป์ตัน เสียไปเพียง 28 ประตูจาก 35 นัด ส่วน แมนฯซิตี ยิงได้มากที่สุด 71 ประตู ทว่าไม่สามารถหาทีมที่ลงตัวทั้งรุกและรับได้อย่าง เชลซี ยิงได้ 69 เสีย 27 ประตู โดยเฉพาะในบ้าน 17 นัดเสียแค่ 7 ลูก ทำให้ "สิงโตแห่งกรุงลอนดอน" นั้นมีผลต่างประตูได้เสียดีที่สุดด้วย ตรงกันข้าม แมนฯยู ของนายใหญ่ หลุยส์ ฟาน กัล ก็มีช่วงที่เขื่อนแตกเป็นว่าเล่น แต่ก็มีจังหวะที่ ดาบิด เด เคอา เฝ้าเสาได้อย่างเหนียวหนึบ ทว่าแนวรุกไม่สามารถผลิตสกอร์ได้มากพอ ทั้งที่แต่ละรายก็ชื่อชั้นระดับเวิลด์คลาส
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *