คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
นับตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีดครั้งสุดท้ายในเกมนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ที่สนามบูกิต จาลิล กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ด้วยความพ่ายแพ้ของทีมไทย ต่อเจ้าถิ่น 2-3 แต่สกอร์รวม 4-3 ทำให้ทีม “ช้างศึก” กลับมาคว้าแชมป์อาเซียนได้อย่างสะใจ นาทีนั้นแฟนบอลของทีม “เสือเหลือง” คงช็อก ขณะที่แฟนทีมลูกหนังแดนสยามได้เฮกันสุดเสียง นอกจากจะเป็นผลงานของผู้เล่น และทีมงานทุกคนแล้ว คนที่รับเครดิตไปเต็มๆ คงหนีไม่พ้น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวขอนแก่นที่กระชากหัวใจแฟนบอลทั้งประเทศมากุมไว้ในมือได้อย่างเด็ดขาด
การมาของ “ซิโก้” นั้นเริ่มตั้งแต่มารับงานชุดยู 23 ไปทวงแชมป์ซีเกมส์ 2013 ที่พม่า กลับมาได้ ต่อด้วยการนำทีมชุดเดียวกันไปได้ไกลถึงรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลชาย เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 17 ที่เกาหลีใต้ ซึ่งก่อนจะมารับงานคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่ ดูเหมือนอดีตศูนย์หน้าทีมชาติไทยรายนี้ก็แบ่งรับแบ่งสู้อยู่เหมือนกัน เพราะมันเสี่ยงที่จะพลาดคว้าน้ำเหลวกลับบ้าน เนื่องจากห่างหายจากแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ มานานถึง 12 ปีแล้ว อีกประการก็หนีไม่พ้นเรื่องสัญญาการคุมทีม ที่ปัจจุบันแม้จะนำความสำเร็จมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่เห็นมีการหยิบยื่นสัญญาการทำงานมาให้ เรียกว่างานนี้ “สัญญาใจ” ล้วนๆ
พอผลงานดีผู้ใหญ่ของบ้านนี้เมืองนี้ก็เริ่มหันมามอง ถึงขนาดคนอย่าง “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ยังออกมาเปรยๆ เลยว่า “ซิโก้” ควรจะได้สัญญาเป็นตัวเงินเท่ากับผู้ฝึกสอนจากต่างประเทศ เหมือนที่เคยปฏิบัติกันมา
อีกเรื่องที่ต้องจับตาเป็นลักษณะการทำงานของกุนซือพ่อลูกสาม เพราะดูไปดูมา เหมือนว่า “ซิโก้” จะทำงานเกินเลยขอบเขตของความเป็นผู้ฝึกสอนไปแล้ว เห็นได้ชัดเมื่อสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จัดให้ดูแลทีมชาติไทยแทบจะทุกชุดที่จะลงแข่งขันในปี 2558 ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 43, การแข่งขันฟุตบอลซีเกมส์ ครั้งที่ 28 ที่สิงคโปร์, การแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิก รอบคัดเลือก และการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 โซนเอเชีย รอบคัดเลือก
ซึ่งทั้ง 4 รายการนี้ มีทีมชาติชุดใหญ่ ลงแข่งขัน “คิงส์คัพ” กับ “ฟุตบอลโลก” ส่วน “ซีเกมส์” ใช้ชุด ยู 23 ขณะที่ “โอลิมปิก” ต้องใช้ชุด ยู 22 หากให้แบ่งกันให้ชัดๆ เห็นกันแบบไม่ต้องคิดอะไรมากคือต้องมีนักเตะถึง 3 ชุด ในการลงแข่งขันทั้งหมดนี้ แน่นอนว่า “ซิโก้” คุมคนเดียวหมดทุกชุดไม่ได้ ต้องกระจายงานให้ทีมงานคนอื่นทำ ขณะที่ตัวเองเป็นคนควบคุมกำกับดูแล และวางแผนงาน เพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ พูดง่ายๆ ตอนนี้หน้าที่หลักของกุนซือวัย 41 ปี อาจจะดูคล้ายๆ ประธานเทคนิค หรือ ผอ.เทคนิคของวงการฟุตบอลไทยที่คนอย่าง “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ผู้มากประสบการณ์เคยอยากเข้าไปนั่งทำงานในจุดนี้ ซึ่งว่ากันตามตรง “ศรัทธา” ของแฟนบอลต่อกุนซือคนหนุ่มรายนี้กลายเป็น “บารมี” สำหรับจัดวางแผนงานของทีมชาติไทยไปในตัวเสียแล้ว
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
นับตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีดครั้งสุดท้ายในเกมนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ที่สนามบูกิต จาลิล กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ด้วยความพ่ายแพ้ของทีมไทย ต่อเจ้าถิ่น 2-3 แต่สกอร์รวม 4-3 ทำให้ทีม “ช้างศึก” กลับมาคว้าแชมป์อาเซียนได้อย่างสะใจ นาทีนั้นแฟนบอลของทีม “เสือเหลือง” คงช็อก ขณะที่แฟนทีมลูกหนังแดนสยามได้เฮกันสุดเสียง นอกจากจะเป็นผลงานของผู้เล่น และทีมงานทุกคนแล้ว คนที่รับเครดิตไปเต็มๆ คงหนีไม่พ้น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวขอนแก่นที่กระชากหัวใจแฟนบอลทั้งประเทศมากุมไว้ในมือได้อย่างเด็ดขาด
การมาของ “ซิโก้” นั้นเริ่มตั้งแต่มารับงานชุดยู 23 ไปทวงแชมป์ซีเกมส์ 2013 ที่พม่า กลับมาได้ ต่อด้วยการนำทีมชุดเดียวกันไปได้ไกลถึงรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลชาย เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 17 ที่เกาหลีใต้ ซึ่งก่อนจะมารับงานคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่ ดูเหมือนอดีตศูนย์หน้าทีมชาติไทยรายนี้ก็แบ่งรับแบ่งสู้อยู่เหมือนกัน เพราะมันเสี่ยงที่จะพลาดคว้าน้ำเหลวกลับบ้าน เนื่องจากห่างหายจากแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ มานานถึง 12 ปีแล้ว อีกประการก็หนีไม่พ้นเรื่องสัญญาการคุมทีม ที่ปัจจุบันแม้จะนำความสำเร็จมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่เห็นมีการหยิบยื่นสัญญาการทำงานมาให้ เรียกว่างานนี้ “สัญญาใจ” ล้วนๆ
พอผลงานดีผู้ใหญ่ของบ้านนี้เมืองนี้ก็เริ่มหันมามอง ถึงขนาดคนอย่าง “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ยังออกมาเปรยๆ เลยว่า “ซิโก้” ควรจะได้สัญญาเป็นตัวเงินเท่ากับผู้ฝึกสอนจากต่างประเทศ เหมือนที่เคยปฏิบัติกันมา
อีกเรื่องที่ต้องจับตาเป็นลักษณะการทำงานของกุนซือพ่อลูกสาม เพราะดูไปดูมา เหมือนว่า “ซิโก้” จะทำงานเกินเลยขอบเขตของความเป็นผู้ฝึกสอนไปแล้ว เห็นได้ชัดเมื่อสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จัดให้ดูแลทีมชาติไทยแทบจะทุกชุดที่จะลงแข่งขันในปี 2558 ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 43, การแข่งขันฟุตบอลซีเกมส์ ครั้งที่ 28 ที่สิงคโปร์, การแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิก รอบคัดเลือก และการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 โซนเอเชีย รอบคัดเลือก
ซึ่งทั้ง 4 รายการนี้ มีทีมชาติชุดใหญ่ ลงแข่งขัน “คิงส์คัพ” กับ “ฟุตบอลโลก” ส่วน “ซีเกมส์” ใช้ชุด ยู 23 ขณะที่ “โอลิมปิก” ต้องใช้ชุด ยู 22 หากให้แบ่งกันให้ชัดๆ เห็นกันแบบไม่ต้องคิดอะไรมากคือต้องมีนักเตะถึง 3 ชุด ในการลงแข่งขันทั้งหมดนี้ แน่นอนว่า “ซิโก้” คุมคนเดียวหมดทุกชุดไม่ได้ ต้องกระจายงานให้ทีมงานคนอื่นทำ ขณะที่ตัวเองเป็นคนควบคุมกำกับดูแล และวางแผนงาน เพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ พูดง่ายๆ ตอนนี้หน้าที่หลักของกุนซือวัย 41 ปี อาจจะดูคล้ายๆ ประธานเทคนิค หรือ ผอ.เทคนิคของวงการฟุตบอลไทยที่คนอย่าง “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ผู้มากประสบการณ์เคยอยากเข้าไปนั่งทำงานในจุดนี้ ซึ่งว่ากันตามตรง “ศรัทธา” ของแฟนบอลต่อกุนซือคนหนุ่มรายนี้กลายเป็น “บารมี” สำหรับจัดวางแผนงานของทีมชาติไทยไปในตัวเสียแล้ว
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *